xs
xsm
sm
md
lg

สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนทั่วโลกกับกองทุนรวม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดย ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย
กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน
บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด

อย่างที่หลายๆ ท่านทราบนะครับว่าตลาดหุ้นไทยถือเป็นตลาดที่มีความผันผวนค่อนข้างสูง โดยถ้าเจาะลึกลงปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นจะเห็นว่ากลุ่มอุตสาหกรรมหลักๆ ยังอยู่ในสภาวะที่ไม่สดใสมากนัก เช่น กลุ่มพลังงานมีความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันตกต่ำจากปัจจัยอุปทานล้นตลาด

ส่วนกลุ่มธนาคารก็ยังได้รับความกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัว ขณะที่กลุ่มสื่อสารกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการลงทุนในต่างประเทศก็ยังคงให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงแม้จะเผชิญกับภาวะความผันผวนบ้างก็ตาม ทำให้มีนักลงทุนให้ความสนใจกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นต่างประเทศเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ประโยชน์ที่เกิดจากการไปลงทุนในต่างประเทศมีหลายประการนะครับ เช่น ช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตจากการลงทุนที่กระจุกตัวมากเกินไป โดยการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียวก็เท่ากับพอร์ตการลงทุนของเราเกิดการกระจุกด้วยเช่นกัน เพราะจะมีการลงทุนอยู่เพียงไม่กี่อุตสาหกรรม ในแต่ละอุตสาหกรรมจะส่งผลสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งในบางสภาวะที่เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว หรือราคาน้ำมันโลกปรับตัวลง ก็จะส่งผลให้ SET Index มีผลตอบแทนลดลงไปด้วย

ดังนั้น การเลือกลงทุนในตลาดหุ้นในหลายประเทศที่มีสภาวะเศรษฐกิจที่ดีกว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร และลดความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมต่ำกว่าการกระจุกตัวลงทุนแต่ภายในประเทศนะครับ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสการลงทุนที่หลากหลาย โดยปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าตลาดรวม 3.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มีหุ้นจดทะเบียนอยู่ประมาณ 500 ตัว

แต่เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลกที่มีขนาดใหญ่ถึง 65 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในดัชนี MSCI All Country World Index มีหุ้นให้เลือกลงทุนกว่า 8,000 ตัว แสดงให้เห็นถึงโอกาสการลงทุนที่หลากหลายในตลาดหุ้นโลก โดยนักลงทุนอาจเลือกลงทุนในบริษัทข้ามชาติ หรือธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตสูงๆ เช่น Apple, Microsoft หรือ Google ซึ่งหาลงทุนไม่ได้ในตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้ หลายๆ ประเทศยังมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เอื้อให้มีการขยายตัวสูงกว่า และอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับการลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าสภาวะเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันอีกด้วยครับ

ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่มักคิดว่าการลงทุนในต่างประเทศมีความยุ่งยาก ซับซ้อน หาข้อมูลลำบาก ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เงินจำนวนเท่าไหร่เพื่อไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ และไม่มีเวลาติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิดเลยครับ เนื่องจากนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่า 80% ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลายบริษัทจัดการที่มีกองทุนประเภทนี้ให้นักลงทุนได้เลือกสรรกันอย่างหลากหลาย และยังกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำไม่สูงอีกด้วย เหมาะกับทั้งนักลงทุนรายย่อยและรายใหญ่ที่ต้องการลงทุนต่างประเทศกันด้วยครับ

โดย บลจ.ไทยพาณิชย์ก็มีโอกาสได้นำเสนอกองทุนประเภทนี้ด้วยเช่นกัน เช่น กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นญี่ปุ่น (SCBNKY225) หรือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยุโรป (SCBEUEQ) เป็นต้น แต่ก่อนการลงทุนนักลงทุนควรดูด้วยนะครับว่ากองทุนไปลงทุนที่ตลาดไหน เลือกลงทุนในหุ้นแบบใด และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้นักลงทุนสามารถศึกษาได้จากหนังสือชี้ชวนกันได้เลยครับ

ผมขอฝากไว้นะครับ ลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง ไม่มีการลงทุนใดให้ผลตอบแทนสูงต่อเนื่องตลอดเวลา การลงทุนที่ดีควรประเมินความเสี่ยงของตนว่ารับความเสี่ยงในการลงทุนต่างประเทศได้หรือไม่ โดยรวมถึงความเสี่ยงด้านค่าเงินในกรณีที่กองทุนนั้นไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนด้วย ซึ่งการลงทุนในหุ้นต่างประเทศจะเหมาะกับผู้รับความเสี่ยงได้สูงสุดเท่านั้น และที่สำคัญอย่างที่ผมบอกเสมอๆ ว่า ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น