บล.เอเชีย เวลท์ ชำแหละ 2 ปัจจัยหลัก ราคาน้ำมันโลก และความกังวลเศรษฐกิจจีนกดดันภาวะตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ ระบุจีดีพีของประเทศในกลุ่มนี้หายไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องขายสินทรัพย์ เช่น หุ้น ออกมาเพื่อหาเม็ดเงินมาชดเชย ทำให้ตลาดหุ้นผันผวน และยิ่งกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกมากขึ้นอีก ขณะที่มองว่า SET Index คงจะไม่สามารถต้านทานปัจจัยลบภายนอกได้
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยที่สำคัญสัปดาห์นี้ คือ ราคาน้ำมันโลก หลังจากที่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่ำกว่า 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และเมื่อวันเสาร์ (16 ม.ค.) ทางสหประชาชาติ ได้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่าน ส่งผลให้ราคาน้ำมันถูกกดดันเพิ่มขึ้นจากอุปทานที่ล้นตลาดอยู่แล้ว โดยอิหร่านมีกำลังผลิตมากถึง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แม้ช่วงที่ผ่านมา จะถูกคว่ำบาตรไม่ให้ส่งออกไปได้เต็มที่ แต่ก็สามารถส่งออกน้ำมันได้เกือบ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเมื่อยกเลิกการคว่ำบาตรแล้ว อิหร่านจะสามารถส่งออกน้ำมันได้เต็มกำลังการผลิต ซึ่งจะกดดันราคาน้ำมันอย่างมาก
นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเรื่องเศรษฐกิจของจีนว่าจะเติบโตอย่างที่คาดหรือไม่ จากการรอประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในวันอังคาร (19 ม.ค.) ยังกดดันตลาดอย่างต่อเนื่อง และประเทศที่ส่งออกน้ำมันเองได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดต่ำในระดับนี้ ทำให้ดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลอย่างหนัก GDP ของประเทศในกลุ่มนี้หายไปเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น ทำให้ต้องขายสินทรัพย์ เช่น หุ้น ออกมาเพื่อหาเม็ดเงินมาชดเชย ทำให้ตลาดหุ้นผันผวน และยิ่งกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกมากขึ้นอีก
ปัจจัยภายในประเทศยังคงมีปัญหาด้านภัยแล้งที่เป็นปัจจัยลบ แต่ก็ยังมีปัจจัยบวก ได้แก่ ด้านการส่งออกที่น่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น และความคืบหน้าของการลงทุนภาครัฐ แต่คงจะไม่สามารถต้านทานปัจจัยลบภายนอกได้
นายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ Trading Idea ประจำสัปดาห์นี้ บล.เอเชีย เวลท์ คือ หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล คือ CHG ของโรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) เป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำที่ให้บริการด้านการแพทย์ทั่วไป ประกอบด้วย เครือข่ายโรงพยาบาลในเขตอุตสาหกรรม ได้แก่ สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตลอดจนในเขตกรุงเทพฯ และใกล้เคียงสนามบินสุวรรณภูมิ เช่นเดียวกับโรงพยาบาลชั้นนำของไทยอื่นๆ
ทั้งนี้ เชื่อว่า CHG จะได้ประโยชน์อย่างมากจากการเปิด AEC เริ่มในปีนี้จากที่ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางการแพทย์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ ยังจะได้ประโยชน์จากการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมของคนสูงอายุที่ต้องการบริการทางการแพทย์เพิ่มขึ้นในแง่ปริมาณ และคุณภาพ
CHG ตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนรายรับจากลูกค้ากลุ่ม A คือ ลูกค้าเงินสด บริษัท และผู้ถือกรมธรรม์สุขภาพ ซึ่งมีอัตรากำไรอยู่ในระดับสูงมากกว่าลูกค้าทั่วไป และลูกค้าตามแผนประกันสังคม โดยจะเพิ่มสัดส่วนรายรับกลุ่ม A ให้เป็น 60% ในปีนี้จาก 51% ในปัจจุบัน ทั้งนี้ CHG มีแผนจะขยายความสามารถในการรองรับคนไข้ใน 3 โรงพยาบาลหลักของกลุ่มภายในปี 2016
จากการรวบรวมของ Bloomberg นักวิเคราะห์คาดประมาณกำไรของ CHG ว่า จะขยายตัวเฉลี่ย 25% ในปี 2558 และเติบโต 24% ในปี 2559 และ 20% ในปี 2560 โดยผิวเผินดูเหมือนหุ้น CHG จะแพงเกินไปด้วย PE ปี 2559 ที่ 47 เท่า แต่หากพิจารณาจากอัตราส่วนของราคาต่อกำไรต่อหุ้นต่อร้อยละการเติบโตของกำไร (PEG Ratio) ปี 2559 จะอยู่ที่ 2.0 เท่า เทียบกับคู่แข่ง คือ BDMS และ BH ที่อยู่ที่ 2.7 เท่า ถือว่า CHG น่าสนใจกว่ามาก
ด้านราคาเป้าหมายของ Bloomberg consensus อยู่ที่ 2.51 บาท ซึ่งราคาปัจจุบันสูงเกินกว่าราคาเป้าหมายไปแล้ว สัญญาณทางเทคนิคทำให้คาดว่าหุ้นตัวนี้มีโอกาสทำ All time new high โดยด้านเทคนิค เกิดสัญญาณซื้ออย่างแข็งแกร่งทั้งรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ทำให้เป็นหุ้นที่น่าสนใจลงทุน