บลจ.วรรณชี้เศรษฐกิจไทยปีนี้โต 2.8-3.8% รับอานิสงส์รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจและราคาน้ำมันที่ลดลง พร้อมแนะลงทุนหุ้นไทยปัจจัยพื้นฐานแกร่งที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลง ธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์ ระบุดัชนีปีนี้อยู่ในกรอบ 1,200-1,500 จุด ส่วนราคาน้ำมันแนะรอจังหวะลงทุนหากมีเสถียรภาพมากขึ้น
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจภายในประเทศปีนี้มีโอกาสกลับมาขยายตัวได้ดี เนื่องจากทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงจะส่งผลดีเอื้อต่อระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ ประกอบกับภาครัฐบาลยังคงใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยจะเป็นปัจจัยบวกหลักสนับสนุนการฟื้นตัวของจีดีพีให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งทางบริษัทประเมินตัวเลขการเติบโตของจีดีพีปีนี้อยู่ที่ระดับ 2.8-3.8%
ทั้งนี้ บริษัทมองว่าหากความรุนแรงในตะวันออกกลางสามารถควบคุมได้ แต่ตลาดน้ำมันยังคงถูกกดดันจากประเด็นความกังวลของอุปทานที่ล้นความต้องการของตลาด เนื่องจากประเทศอิหร่าน หนึ่งในประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบได้ถูกยกเลิกการคว่ำบาตร ทั้งนี้ มอง downside risk ราคาน้ำมันมีโอกาสแตะระดับ 26 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หากหลุดที่ระดับ 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนการลงทุนของตลาดหุ้นไทย บริษัทยังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยประเมินปัจจัยสนับสนุนหลักๆ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ และแนวโน้มการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในตลาด อีกทั้งการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาจนถึงระดับปัจจุบันที่ประมาณ 1,280 จุด ทำให้อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E ratio) ตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำเพียง 12.4 เท่า ซึ่งถือว่าถูกหากเทียบกับแนวโน้มการเติบโตของอัตราการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียนในตลาด โดยคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 3.71% ขณะที่คาดการณ์อัตราการจ่ายปันผลของประเทศในกลุ่ม TIP (ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย) อยู่ที่ระดับ 2.03% และ 2.26% ตามลำดับ
“บริษัทประเมินกรอบของดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ 1,200-1,500 จุด แนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง เช่น สายการบิน หุ้นในกลุ่มที่มูลค่ายังไม่แพงจนเกินไปในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ และหุ้นที่ได้รับผลดีจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาท เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี ในภาวะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงสำหรับผู้ลงทุนระยะยาว บริษัทแนะนำให้ทยอยลงทุน โดยเน้นกลุ่มหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งเป็นหลักตามกลุ่มดังกล่าวข้างต้น ซึ่งจะได้รับผลดีในช่วงที่ตลาดพลิกกลับมาเป็นบวกสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้นได้ไม่มาก แนะนำให้รอเพื่อหาจังหวะลงทุนในช่วงที่ราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น”
นายวิน กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นการแกว่งตัวตามปัจจัยต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่เกิดจากความกังวลล่วงหน้าของผู้ลงทุนต่อภาวะการชะลอตัวเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายต่างๆ ในลักษณะฉับพลันของทางการจีน ซึ่งส่งผลเสียต่อบรรยากาศการลงทุน โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมองว่าปัจจัยดังกล่าวจะยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนเป็นระยะๆ เพราะทางรัฐบาลจีนอยู่ระหว่างการปรับแต่งนโยบายเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย ผมมองว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยยังแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นผลจากการกระตุ้นการลงทุนของโครงการลงทุนภาครัฐ โดยปีนี้คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนประมาณ 265,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.9% ของจีดีพี และ valuation ของตลาดหุ้นไทยที่ยังไม่แพง
ดังนั้น เมื่อตลาดคลายความกังวลลงเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด บริษัทมองว่าราคาสินทรัพย์เสี่ยงจะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นไทย เนื่องจากปีนี้ยังมีสภาพคล่องที่ล้นระบบเศรษฐกิจทั่วโลก จากการใช้มาตรการผ่านคลายทางการเงินของประเทศในแถบยูโรโซน และญี่ปุ่น