บลจ.เมย์แบงก์ตั้งเป้า AUM แตะ 10,000 ล้าบาท รุกตลาดต่างประเทศ พร้อมออกกองทุนต่างประเทศ 4-5 กอง มองการลงทุนปี 59 ผันผวนจากปัจจัยเศรษฐกิจจีน ราคาน้ำมัน ค่าแรงสหรัฐฯ
ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แผนงานปี 2559 บริษัทมีแผนจะเสนอขายกองทุนต่างประเทศอีก 4-5 กองทุน และบริหารกองทุนเองอีก 1-2 กองทุน โดยตั้งเป้าว่ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ในปีนี้จะเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท สำหรับกองทุนแต่ละกองของเมย์แบงก์ในปีนี้จะมีความโดดเด่นชัดเจนและเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ดีและแตกต่างให้แก่นักลงทุน ส่วนด้านการตลาด เราเน้นเพิ่มช่องทางการขายโดยจะมีจำนวนเอเยนต์มากขึ้นอีกหลายราย และนักลงทุนจะสามารถซื้อขายกองทุนได้สะดวกยิ่งขึ้นผ่านการบริการ Online
นอกจากนี้ บลจ.เมย์แบงก์ยังวางจุดยืนด้านการลงทุน (Position) จะเป็นผู้นำด้านการลงทุนต่างประเทศและมีเครือข่าย (Connection) ที่ดีในอาเซียน จึงหนีไม่พ้นการนำกองทุนต่างชาติที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากในอุตสาหกรรมกองทุนไทยเข้ามาให้นักลงทุนได้เลือกลงทุน นอกจากนี้แล้ว ในปี 2559 ยังเป็นปีที่ บลจ.เมย์แบงก์จะเริ่มออกกองทุนที่บริหารโดยทีมงานผู้จัดการกองทุนของบริษัทเองมากขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจนขึ้นว่า การที่เมย์แบงก์มีสาขาในหลายประเทศในอาเซียนนั้นจะเพิ่มโอกาสการลงทุนให้แก่นักลงทุนอย่างไรตามที่กล่าวไว้ในข้างต้น
สำหรับปี 2558 ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ท้าทายสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เติบโตเกือบ 15% หรือแตะ 1,200 ล้านบาท แม้ว่าจะใกล้เคียงของเดิมแต่สัดส่วนของกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศกลับเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2558 เพิ่มกองทุนเอฟไอเอฟ 2 กอง รวมเป็น 8 กอง
ดร.ตรีพล กล่าวต่อว่า แนวโน้มการลงทุนในปี 2559 นั้นตลาดยังคงผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูง การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจากกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วเริ่มมีจำกัด ประกอบกับการเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยิ่งเพิ่มความกังวลให้แก่ตลาด ดังนั้น ปี 2559 จึงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับนักลงทุนอีกปีหนึ่ง แต่ในทางกลับกันก็ยังมีโอกาสที่ดีแฝงอยู่สำหรับนักลงทุนระยะยาว
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตามสำหรับการลงทุนปีนี้ ได้แก่ ราคาน้ำมัน เศรษฐกิจจีน การเลือกตั้งในสหรัฐฯ ส่วนในยุโรปก็คงไม่พ้น Brixit และ Grexit แต่ที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด คือ อัตราค่าแรงในสหรัฐฯ ถ้าขึ้นเร็วและแรงไปอาจเป็นผลไม่ดีต่อผลประกอบการของบริษัท ถ้าอ่อนไปอาจไม่ดีต่อเศรษฐกิจและเงินสะพัดโดยรวม
ด้านกลยุทธ์การลงทุนนั้น ถ้านักลงทุนจัดสรรเงินลงทุนเอง หุ้นขนาดเล็กในยุโรปน่าสนใจ เพราะอยู่ในช่วงฟื้นตัวและมีราคาไม่แพงมากนัก หุ้นสหรัฐฯ ต้องเลือกหุ้นที่ได้ผลประโยชน์จากการควบรวม ซึ่งกองทุน Maybank US Active Equity (M-USA) ก็อาจเป็น 1 ในตัวเลือกได้ นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าหุ้นญี่ปุ่นยังน่าสนใจอยู่ ส่วนตราสารหนี้คงเลี่ยงตราสารหนี้ระยะยาว และลงทุนในตราสารหนี้ที่ยังให้ผลตอบแทนสูง (High Yield) โดยเฉพาะบริษัทในยุโรป ซึ่งขอเสนอกองทุน Maybank Global Absolute Return Fund (M-GARS) เป็นตัวเลือก