“วิเชียร” อดีตบอร์ด สสส. จ่อพบ “บิ๊กต๊อก” แจงไร้ประโยชน์ทับซ้อน ชี้ลาออกจากกรรมการมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมก่อนเข้ารับตำแหน่ง ส่วนมูลนิธิเพื่อคนไทยไม่ได้ลาออก เหตุไม่ได้ขอทุน สสส.แต่เป็นการร่วมทุน 2 โครงการ “คนไทยขอมือหน่อย - ต่างใจไทยเดียว” เผยตั้งใจลาออกจากตำแหน่งบอร์ด สสส. อยู่แล้วก่อนถูกปลด ระบุยังไม่ได้ประสานคุยผู้ทรงคุณวุฒิที่ถูกปลด
วันนี้ (12 ม.ค.) ที่อาคารพรีเมียร์คอเปอเรทปาร์ค นายวิเชียร พงศธร ประธานคณะกรรมการมูลนิธิเพื่อคนไทย และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนด้านการบริหาร คณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (บอร์ด สสส.) ให้สัมภาษณ์กรณีถูกคำสั่งมาตรา 44 ปลดออกจากบอร์ด สสส.พร้อมกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 6 คน ว่า ที่ผ่านมาเรื่องนี้มีข้อมูลปรากฏว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน แต่น่าจะเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากก่อนหน้านี้ตนมีตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิเพื่อคนไทยและมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม แต่เมื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. วันที่ 7 ส.ค. 2557 ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งในมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2557 เนื่องจากมูลนิธินี้ยังมีโครงการต่อเนื่องที่รับทุนจาก สสส.อยู่ ส่วนมูลนิธิเพื่อคนไทยตนไม่ได้ลาออก เพราะไม่ได้ขอทุน สสส. มาดำเนินโครงการ แต่เป็นการร่วมทุนในโครงการคนไทยขอมือหน่อยครั้งที่ 1 ปี 2556 และโครงการต่างใจไทยเดียว ปี 2557 ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดขึ้นก่อนเข้ามารับตำแหน่งในบอร์ด สสส. ส่วนโครงการคนไทยขอมือหน่อยซึ่งกำลังจะจัดขึ้นอีกครั้งในปีนี้ สสส.ไม่ได้ร่วมลงทุน เพียงแต่ช่วยประชาสัมพันธ์กิจกรรม
“ยอมรับว่าแม้จะลาออกและเข้าไปเป็นบอร์ด สสส. แต่ยังมีความใกล้ชิดกับมูลนิธิอยู่ แต่ไม่มีผลต่อการอนุมัติงบประมาณโครงการต่างๆ เพราะไม่มีอำนาจสั่งการอนุมัติ ส่วนการจะโน้มน้าวนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากระบบจะมีแผนการอนุมัติหลายระดับที่มีผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ประเมินโครงการก่อนอนุมัติงบถือเป็นอำนาจระบบหมู่คณะ และยืนยันว่าช่วงเป็นบอร์ด สสส.ไม่เคยรับผลตอบแทนใดๆ ทั้งนี้ หลังมีคำสั่งมาตรา 44 ถือว่ามีผลกระทบกับจิตใจ ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ เพราะผมทำงานขับเคลื่อนเรื่องธรรมาภิบาล ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ต้องได้รับความไว้วางใจจึงจะสามารถทำงานได้ ตรงนี้กลายเป็นการบั่นทอนประสิทธิภาพในการทำงาน จึงจำเป็นที่จะต้องชี้แจงให้สังคมเข้าใจ ซึ่งผมจะเข้าไปชี้แจงต่อ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม และประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ด้วย โดยมีการประสานด้วยวาจาแล้ว แต่ไม่ได้ไปเรียกร้องความเป็นธรรมอะไร และยังไม่ทราบว่าจะเป็นวันไหน แต่อยากให้เร็วที่สุด เมื่อคุยแล้วก็อยู่ที่ผู้มีอำนาจจะพิจารณา” นายวิเชียร กล่าว
นายวิเชียร กล่าวว่า หลังมีคำสั่งมาตรา 44 ตนยังไม่ได้คุยกับผู้ทรงคุณวุฒิคนอื่นๆ ที่ถูกปลด และยืนยันว่า ยังไม่ได้รับการประสานเพื่อหารือกัน มีเพียงคน สสส. ที่ประสานมาว่าจะแสดงความขอบคุณเรื่องงานเท่านั้น คงไม่ใช่จะออกมาขับเคลื่อนอะไร เพราะทุกวันนี้สังคมมีความแตกแยกมากแล้ว อะไรที่เข้าใจไม่ตรงกัน คลาดเคลื่อน ก็พูดคุยจะดีกว่า โดยหวังว่าจะมีการคุยกับคนอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถทำงานเพื่อสังคมได้ตามปกติ ทั้งนี้ หลังจากบอร์ด สสส. มีมติแก้ไขระเบียบให้คณะกรรมการกองทุนที่มีตำแหน่งกรรมกรรมการในองค์กรอื่นเลือกเพียงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งใน 90 วันนั้น ตนตั้งใจที่จะลาออกหลังจากมีการประชุมบอร์ด สสส. วันที่ 15 ม.ค. นี้ โดยตัดสินใจว่าจะไม่รับตำแหน่งในบอร์ด สสส. เพราะการทำงานของ สสส.เป็นกึ่งองค์กรของรัฐ ซึ่งมีกฎระเบียบมากจึงไม่สะดวก เพราะตนเป็นนักธุรกิจ แต่ก็ยังยินดีช่วยเหลืองานเพื่อสังคมอยู่
“ผมอยากให้รัฐมองว่า คนที่ยินดีเข้ามาทำงานเพื่อสังคงม ถือเป็นทรัพยากร และเครือข่ายที่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศมากกว่า ไม่ว่าจะในรัฐบาลใดก็ตาม พวกเราถือว่ามีความจำเป็นในการช่วยพัฒนา ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการขับเคลื่อนโดยพลังของพลเมือง (Active citizen) รัฐควรให้การสนับสนุนและทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันมากกว่า” นายวิเชียร กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่