บลจ.กรุงศรีเผยปี 59 ยังเน้นลงทุนต่างประเทศ ชี้ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ฮ่องกง ราคาต่ำ สภาพคล่องยังสูง ส่วนหุ้นไทยปี 59 ต้องเน้นการลงทุน เลือกหุ้นพื้นฐานดี จ่ายปันผลดี
นายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ (รักษาการ) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ของบริษัทในปี 2558 ยังมีการเติบโตที่ดี ซึ่งคาดว่าสิ้นปี AUM จะสามารถปิดได้ที่ระดับประมาณ 311,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 2557 ที่อยู่ 272,000 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 14-15% ด้านการเติบโตของรายได้ก็มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยคาดว่ารายได้รวมปี 2558 จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2,890 ล้านบาท และรายได้สุทธิจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท หรือปรับเพิ่มขึ้น 49% จากปี 2557 ที่มีรายได้รวมประมาณ 2,000 ล้านบาท ขณะที่รายได้สุทธิอยู่ที่ 673 ล้านบาท
“ในแง่การเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์อาจจะไม่สูงมาก แต่ท่ามกลางสภาวะตลาดหุ้นไทยที่ดัชนีปรับตัวลดลง บริษัทยังคงมีเงินลงทุนใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ AUM ยังสามารถเติบโตได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนเพิ่มจากฐานลูกค้าเดิม โดยผู้ลงทุนยังคงให้ความสนใจในการกระจายการลงทุนไปยังกองทุนต่างประเทศ หรือ FIF ทำให้มีเม็ดเงินลงทุนใหม่ไหลเข้ากองทุน FIF ของบริษัทประมาณ 13,000 ล้านบาท ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ของอุตสาหกรรมในกลุ่มกองทุน FIF รวมถึงเม็ดเงินลงทุนในกองทุน RMF และ LTF ของบริษัทก็มีเงินลงทุนไหลเข้ามากเป็นอันดับ 2 เช่นเดียวกัน”
นอกจากนี้ จากการรายงานของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) พบว่าบริษัทมีอัตราการทำกำไรสูงที่สุดในอุตสาหกรรม โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2558 บริษัทมีรายได้รวมต่อสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (Gross Revenue / AUM) อยู่ที่ 0.46% ด้านรายได้สุทธิต่อสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (Net Income / AUM) อยู่ที่ระดับ 0.17% สูงที่สุดในอุตสาหกรรมเช่นกัน อีกทั้งในด้านอัตราค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Expense to Income Ratio) ก็ถือว่าค่อนข้างต่ำ โดยอยู่ที่ประมาณ 54%
สำหรับแผนงานในปี 2559 บริษัทยังมุ่งเน้นการแนะนำให้ลูกค้ากระจายเงินลงทุนออกไปยังต่างประเทศ และให้ความสำคัญต่อกองทุน FIF โดยวางแผนที่จะร่วมมือกับบริษัทจัดการลงทุนในเครือธนาคาร MUFG ที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น เช่น Mitsubishi UFJ Trust and Banking (MUTB), KOKUSAI Asset Management และ Morgan Stanley ที่ธนาคาร MUFG เป็นผู้ถือหุ้น เนื่องจากบริษัทจัดการกองทุนกลุ่มนี้มีกองทุนที่น่าสนใจเป็นจำนวนมาก และถือเป็นแนวทางที่ดีในการแสวงหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มานำเสนอให้แก่ลูกค้า
ด้านตลาดการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับปี 2559 ได้แก่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และฮ่องกง โดยตลาดหุ้นฮ่องกงในปัจจุบันระดับ P/E และ P/B อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ แต่ก็มีบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่ระดับ P/E สูงกว่าตลาดหุ้นคู่แข่งอย่างตลาดหุ้นไต้หวัน เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเทคโนโลยี เป็นต้น ทั้งนี้ มองว่าในตลาดหุ้นฮ่องกงยังมีหุ้นที่คุณภาพดีและราคาถูกให้เลือกลงทุนได้ และเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูง อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อการซื้อขายกับตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ รวมถึงในอนาคตกำลังมีแผนที่จะเชื่อมกับตลาดหุ้นเสิ่นเจิ้นเพิ่มด้วย
ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มที่ดี แต่แนะนำให้เลือกลงทุนผ่านผู้จัดการกองทุนที่มีความสามารถในการคัดเลือกหุ้น เช่น กองทุน Eastspring Investments ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในการลงทุนด้วยการเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ หรือมีอัตราการเติบโตของกำไรที่ดี
สำหรับทิศทางการไหลเข้าออกของเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 2559 มองว่า ปัจจุบันในดัชนี MSCI ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนอยู่น้อยมาก ดังนั้นตลาดหุ้นจึงต้องพึ่งพาการลงทุนจากเม็ดเงินทุนในประเทศเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุนสถาบัน เช่น บลจ. บริษัทประกัน เป็นต้น รวมถึงผู้ลงทุนบุคคลในประเทศ ส่วนหุ้นไทยที่น่าสนใจลงทุนในระยะนี้มองว่าควรจะเป็นบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลดี และมีปัจจัยพื้นฐานที่สามารถสร้างการเติบโตในอนาคตได้