ทิสโก้ชี้เฟดขึ้นดอกเบี้ย ส่งหุ้นยุโรป-เอเชียเด้งแรง แนะทยอยสะสม หุ้นเยอรมนี-ญี่ปุ่น-จีน กลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักที่เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งตลาดหุ้นสดใสเหมาะสะสมเข้าพอร์ต เป็นทางเลือกลงทุนปี 2016
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า จากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติเป็นเอกฉันท์ในการประชุมในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0.25-0.5% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2006 โดยจากแถลงการณ์การประชุมระบุว่า Fed ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากเชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อจะสามารถกลับเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% ได้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1. การบริโภคและการลงทุนในประเทศที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง 2. ตลาดแรงงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และ 3. ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มผ่อนคลายลง รวมถึง Fed ยังส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Gradual Increase) ขณะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ และจะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไปนั้น
โดยภายหลังการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ดังกล่าว ส่งผลให้การตอบรับของตลาดหุ้นยุโรปและเอเชียหลายแห่งปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยหายไป ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในปี 2016 บลจ.ทิสโก้จึงยังคงมุมมองเดิมต่อการลงทุนในตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักที่เน้นผ่อนคลายด้านนโยบายการเงินในปี 2016 โดยแนะนำทยอยสะสมหุ้นเยอรมนี, หุ้นญี่ปุ่น และหุ้นจีน
ตลาดหุ้นที่เราแนะนำในปี 2016 ยังคงเป็นตลาดหุ้นเยอรมนี ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และ ตลาดหุ้นจีน โดยเศรษฐกิจเยอรมนียังคงมีความแข็งแกร่งที่สุดในยุโรปและมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี โดย ECB มีมาตรการทำ QE ต่อเนื่อง และมีปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินยูโร ประกอบกับปัจจุบันหุ้นเยอรมนียังซื้อขายที่ระดับ P/E ต่ำที่สุดในยุโรป
สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่น เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน และการที่ BoJ อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบผ่านโครงการ QQE รวมถึงการอ่อนค่าของเงินเยนยังส่งผลดีต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ทางด้านตลาดหุ้นจีน เรามองว่าการชะลอลงของเศรษฐกิจจีนในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพียงปัจจัยลบชั่วคราว เชื่อว่าเศรษฐกิจจีนจะดีขึ้นจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเชื่อว่ารัฐบาลจีนจะยังคงเน้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและการคลัง รวมถึงการบังคับใช้มาตรการต่างๆ เพื่อดูแลเสถียรภาพของตลาดหุ้น ซึ่งย่อมส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจีน อีกทั้งปัจจุบันหุ้นจีนยังถูกซื้อขายที่ P/E เฉลี่ยเพียง 8 เท่า ดังนั้นทั้ง 3 ตลาดจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
โดยนับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน (1 ม.ค.-17 ธ.ค. 58) ตลาดหุ้นเยอรมนี (DAX) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 9.5%, ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 10.9% และตลาดหุ้นจีน (Hang Seng) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -7.3% ขณะที่ตลาดหุ้นไทย (SET) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -12.5%
ทั้งนี้ กองทุนหุ้นเยอรมนี ญี่ปุ่น และจีน ที่ บลจ.ทิสโก้แนะนำในปี 2559 ได้แก่ “กองทุนเปิด ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้” ซึ่งลงทุนในหุ้นเยอรมนีที่เป็นประเทศที่เศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดในยุโรป, “กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้” ที่ลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น โดยอิงดัชนี Nikkei 225 และ “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Share อิควิตี้” ที่ลงทุนเฉพาะหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง ซึ่งถือเป็นตลาดที่มี Valuation ที่ถูกมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ
ทั้งนี้ ผู้สนใจลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน เนื่องจากกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้