บลจ.กสิกรไทยตั้งเป้าปี 59 เน้นโปรดักต์ตอบโจทย์การลงทุน พร้อมตั้งเป้าโต 10-15% ล่าสุดจ่ายปันผลกองทุนรวมอสังหาฯ ส่งท้ายปลายปี 2558 รวม 3 กองทุน มูลค่ากว่า 134 ล้านบาท ผู้ลงทุนรับเงิน 17 ธ.ค.นี้
นายพงศ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) โต 1.2 ล้านล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงปี 2558 ประมาณ 10-15% ขณะที่สินทรัพย์ภายใต้การบริหารช่วงปี 2558 เติบโตต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 1.2 ล้านล้านบาท คาดว่า AUM ปีนี้น่าจะจบต่ำกว่าเป้าหมายมาอยู่ที่ระดับ 1.1 ล้านล้านบาท
ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้ยอดสินทรัพย์โตต่ำกว่าเป้าหมาย คือ อุตสาหกรรมกองทุนชะลอตัวตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนต่อเนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมา ส่งผลให้สัดส่วนลูกค้าหันไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท เติบโตกว่า 100% แต่พอมาในปีนี้ภาวะตลาดต่างประเทศเกิดความผันผวนค่อนข้างมาก ส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุน เป้าหมาย AUM จึงหลุดเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนช่วงปี 2559 ฝ่ายวิจัยการลงทุนยังมองภาพความผันผวนของตลาดทุนไทยและตลาดหุ้นโลกต่อเนื่อง ทำให้ตั้งเป้าหมาย AUM ปีหน้าอยู่แค่ 1.2 ล้านล้านบาทเท่ากับเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้
ส่วนกลยุทธ์ในช่วงปีหน้า บริษัทจะเน้นเพิ่มความหลากหลายให้กับฐานลูกค้าบริษัท พร้อมทั้งพัฒนาเครื่องมือด้านต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้า ล่าสุดบริษัทมีวางแผนเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าในการสั่งซื้อ-สั่งขายกองทุนผ่านระบบโมบายล์แบงกิ้งของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริการดังกล่าวจะเริ่มให้บริการแก่ลูกค้าได้ภายในเดือน ธ.ค. 58 นี้
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนการเพิ่มความรู้ให้แก่นักลงทุนที่เป็นลูกค้าบริษัท โดยการสร้างระบบข้อมูลแต่ละกองทุน รวมถึงการเปรียบเทียบกองทุนแต่ละประเภทว่าผลตอบแทนแต่ละกองทุนเป็นอย่างไร มีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้ลูกค้าสามารถวางแผนการลงทุนได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญระบบดังกล่าวจะให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อย เพราะระบบนี้เดิมให้บริการเฉพาะลูกค้ารายใหญ่เพียงเท่านั้น แต่บริษัทต้องการให้นักลงทุนประเมินการลงทุนเป็นจึงได้พัฒนาระบบผ่านอินเทอร์เน็ตรองรับลูกค้ารายย่อยเพิ่มเติม
นายพงศ์พิเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกองทุนใหม่ที่จะออกในช่วงปี 2559 จะกระจายไปในทุกเซกเตอร์ และให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นกองทุนในประเทศหรือกองทุนต่างประเทศ กองทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่รวมถึงกองทุนรีทส์ โดยกองทุนเหล่านี้จะต้องสะท้อนตลาดเงิน ตลาดทุน และอัตราดอกเบี้ยกับอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วง เพื่อนักลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนในระดับสูงต่อเนื่อง
“ตอนนี้บริษัทมีกองทุนประเภทรีทส์ที่อยู่ในมือ 2 กองทุน โดยกองทุนดังกล่าวจะลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นออฟฟิศให้เช่าในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งหมด กองทุนแรกมีมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท กองทุนที่สองมีมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทเตรียมออกกองทุนประเภทฟันด์ออฟฟันด์ในธุรกิจที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เน้นลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศและต่างประเทศ กองทุนอินฟราสตรักเจอร์ฟันด์ และลงทุนในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของไทย ส่วนแผนการลงทุนในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์นั้น บริษัทลงในสัดส่วนประมาณ 10-20% ของเม็ดเงินลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงในการทำตลาดผันผวนและมีการปรับพอร์ตหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ต่อเนื่อง กองทุนนี้จุดเด่นคือ เงินปันผลและผลตอบแทนจากมูลค่า เพราะสินทรัพย์ที่กองทุนเข้าลงทุนเน้นไปยังอสังหาฯ ต่างประเทศอย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา เป็นหลัก”นายพงศ์พิเชษฐ์กล่าว
ทางด้าน นายเขมชาติ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ. กสิกรไทย กล่าวว่า สำหรับมุมมองด้านการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ บลจ. กสิกรไทยมองว่ายังมีความน่าสนใจและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุน โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนและสถานการณ์ดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ การกระจายลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์นับว่าเป็นอีกสินทรัพย์หนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีรายได้แน่นอนโดยเฉพาะรายได้หลักที่มาจากค่าเช่า ผู้ลงทุนจึงมีโอกาสรับรายได้อย่างสม่ำเสมอจากเงินปันผลตามนโยบายของกองทุน และยังอาจสามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากการซื้อขายทำกำไรในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกด้วย
บลจ.กสิกรไทยเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 3 กองทุน สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558-30 กันยายน 2558 ซึ่งประกอบด้วยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เคพีเอ็น (KPNPF) โดยจะจ่ายปันผลในอัตรา 0.1200 บาทต่อหน่วย กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ไลฟ์ไตล์ (MJLF) ในอัตรา 0.2500 บาทต่อหน่วย และกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา (CTARAF) ในอัตรา 0.0940 บาทต่อหน่วย โดยทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 08.00 น. ของวันที่ 1 ธันวาคม 2558 (XD Date) และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 17 ธันวาคม 2558 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 134.18 ล้านบาท
โดยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เคพีเอ็น (KPNPF) มีนโยบายลงทุนในกรรมสิทธิ์ที่ดิน อาคารสำนักงาน และระบบสาธารณูปโภคของอาคารเคพีเอ็น ทาวเวอร์ บนถนนพระราม 9 ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่ประมาณ 81% โดยผลการดำเนินงานในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2558 ที่ผ่านมาจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ และสามารถสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอจากค่าเช่าพื้นที่และบริการต่างๆ ภายในโครงการ ทำให้ในรอบผลดำเนินงานดังกล่าวกองทุนสามารถทำกำไรสุทธิได้ 78.95 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมามีการจ่ายปันผลแล้วรวม 10 ครั้ง รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1.4930 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลเฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนที่ 6.13% ต่อปี
ด้านกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ไลฟ์สไตล์ (MJLF) มีนโยบายลงทุนในสิทธิการเช่าอาคารโครงการเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รังสิต, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน และซูซูกิ อเวนิว รัชโยธิน ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่อยู่ประมาณ 97% ของพื้นที่เช่าทั้งหมด และภาพรวมตลอดทั้ง 3 ไตรมาสแรกของปี 2558 ที่ผ่านมาโครงการทั้ง 3 แห่งยังมีอัตราการเช่าเกือบเต็มตลอดในทุกไตรมาส ส่วนผลการดำเนินงานในรอบระยะเวลาดังกล่าวจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยกองทุนสามารถทำกำไรสุทธิได้ 268.81 ล้านบาท ทั้งนี้ ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมามีการจ่ายปันผลแล้วรวม 33 ครั้ง รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 7.8630 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลเฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนที่ 9.50% ต่อปี
ส่วนกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา (CTARAF) มีนโยบายลงทุนในสิทธิการเช่าที่ดินและอาคาร รวมถึงระบบสาธารณูปโภคของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทสมุย โรงแรมระดับ 5 ดาว ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่ 25 ไร่ บนหาดเฉวง เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่ 88% และมีผลการดำเนินงานในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2558 ที่ผ่านมา อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยกองทุนสามารถทำกำไรสุทธิได้ 98.93 ล้านบาท ทั้งนี้ ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมามีการจ่ายปันผลแล้วรวม 25 ครั้ง รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 4.4562 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลเฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนที่ 6.81% ต่อปี