โดย ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ
Dr.win@one-asset.com
หลังจากทางการจีนประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 3/58 ออกมา โดยมีการเติบโตของตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 6.9% แม้ว่าจะเป็นระดับที่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 7.0% แต่ก็นับว่าเป็นระดับการเติบโตที่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 6.8% ในภาพรวมของเศรษฐกิจ ผมมองว่าการที่ตัวเลข GDP ของจีนที่เติบโตต่ำกว่าเป้าหมายจะเป็นแรงกดดันให้ทางการจีนเร่งออกนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปในไตรมาส 4 ของปีนี้ โดยที่ผ่านมา ทางการจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
โดยใช้นโยบายการเงิน เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการใช้นโยบายการคลังเพื่อเพิ่มความต่อเนื่อง โดยการออกมาตรการต่างๆ เช่น การกระตุ้นการใช้จ่ายของการบริโภคภายในประเทศผ่านมาตรการภาษี เช่น การปรับลดภาษีรถยนต์ขนาดเล็กที่มีขนาดเครื่องยนต์ 1.6 ลิตรหรือต่ำกว่า ซึ่งจะบังคับใช้ไปจนถึงปลายปี 2016 ซึ่งเป็นรถยนต์กลุ่มนี้มียอดขายคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 70% ของยอดขายทั้งหมดในจีน รวมทั้งการที่รัฐบาลจีนเพิ่มการใช้จ่ายในด้านการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และการปฎิรูปรัฐวิสาหกิจ โดยการดึงภาคเอกชนมาร่วมลงทุนกับรัฐบาลมากขึ้น ซึ่งนโยบายเหล่านี้ในช่วงที่ผ่านมาผมมองว่าสามารถสร้างความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้เป็นระยะๆ
ในภาคของการลงทุน 2-3 เดือนที่ผ่านมา ทางการจีนได้ใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ลงทุนเช่นกัน ซึ่งการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นจีนในช่วงนี้เชื่อว่ามีหลายองค์ประกอบร่วมกัน ส่วนหนึ่งมาจากการที่ตลาดเริ่มคาดหวังแผนกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะการประชุมแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีนในระยะยาว ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นจีนในรอบนี้เรายังไม่เห็นปัจจัยทางเศรษฐกิจทื่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ซึ่งผมมองว่า ผู้ลงทุนได้คลายความวิตกเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวรุนแรงของเศรษฐกิจ (Hard Landing) เนื่องจากทางการจีนได้ออกมาตรการต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยนับว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความคาดหวังของผู้ลงทุนต่อความสำเร็จในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งที่ผ่านมา ความวิตกดังกล่าวได้สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นจีนพอสมควร ประกอบกับตลาดเริ่มเพิ่มน้ำหนักช่วงเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ออกไปเป็นปีหน้ามากขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีกระแสเงินทุนไหลกลับเข้าสู่ตลาดในประเทศกำลังพัฒนา (Develop market) รวมถึงตลาดหุ้นจีนด้วยเช่นกัน
อย่างนี้แล้วตลาดหุ้นจีนจะกลับมาร้อนแรงเหมือนเดิมหรือไม่นั้น ผมมองว่า ตลาดหุ้นจีนยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่ออย่างน้อยจากนี้อีกประมาณ 2-3 เดือน สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจตลาดหุ้นจีน ช่วงจังหวะนี้สามารถเข้าลงทุนได้ เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลงค่อนข้างมาก และยังมี upside ให้ปรับขึ้นได้ แต่ผมขอแนะนำให้ตั้งเป้าจุดตัดขาดทุนไว้ เพราะลดความเสี่ยงจากผลขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้น
ในส่วนของกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในประเทศจีน และอยู่ภายใต้การบริหารงานของ บลจ.วรรณ นั้น เรายังเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ เช่น หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มประกัน และกลุ่มสื่อสารและไอที ซึ่งเรามองว่าการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ นอกจากฐานะการเงินของบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้จะมีเสถียรภาพแล้ว หุ้นในกลุ่มที่มีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นประเทศจีนมักจะได้รับการพยุงจากภาครัฐผ่านพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนสถาบัน ในกรณีที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนเกิดขึ้น
สำหรับปัจจัยหลักๆ ที่ควรติดตามในช่วงนี้ ได้แก่ การส่งสัญญาณการขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เพราะจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของเงินทุนในประเทศ Develop market ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ รวมถึงติดตามผลการประชุมของทางการจีนเกี่ยวกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี ที่จะมีขึ้นประมาณช่วงเดือน พ.ย. หรือต้นเดือน ธ.ค.นี้ ซึ่งหากแผนมีความชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้นก็จะส่งผลต่อ Sentiment เชิงบวกในตลาดหุ้นจีนต่อไป
•นักลงทุนสามารถสอบถามเพิ่มเติม และขอรับร่างหนังสือชี้ชวนได้ที่ฝ่ายบริการลูกค้าและสนับสนุนธุรกิจที่หมายเลข 0-2-59-8888 ต่อ 1 ครับ
•“ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน