บลจ.กรุงศรีประเมินสิ้นปีหุ้นไทยแตะ 1,440 จุด ล่าสุดชวนนักลงทุนกระจายพอร์ตการลงทุนไปทั่วโลก ให้น้ำหนักการลงทุนในยุโรป ญี่ปุ่น และหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ทั่วโลก
นางสุภาพร ลีนะบรรจง รักษาการประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและสงครามค่าเงินที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงความแตกต่างในการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 9 ปี ส่งผลให้ตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกมีความผันผวนเป็นอย่างมาก โดยผลตอบแทนของตลาดต่างๆ ในช่วงครึ่งปีแรกมีการปรับลดลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ บลจ.กรุงศรีมองว่าเศรษฐกิจโลกเพียงแค่ชะลอการเติบโต แต่โดยภาพรวมยังมีพื้นฐานที่ดี ซึ่ง IMF ยังคาดการณ์ GDP Growth ปี 2558 อยู่ที่ 3.3% ส่วนปี 2559 อยู่ที่ 3.9% สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยนั้นเรามองว่าดัชนีหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดที่ระดับต่ำ 1,300 จุด ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ระเบิดที่บริเวณแยกราชประสงค์มาแล้ว ซึ่งแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วง 1 ปีข้างหน้าคาดว่าดัชนียังคงแกว่งตัวในกรอบ 1,400 จุด เพื่อรอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ว่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน โดยเรามองว่าสิ้นปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวที่ 1,440 จุด
ทางด้านนางสาวฉัตรแก้ว เกราะทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า รัฐบาลจีนได้ส่งสัญญาณมาเป็นเวลาหลายปีว่าการเติบโตจะชะลอตัวลงเนื่องจากการปรับโครงสร้างจากการใช้การลงทุนและการส่งออกเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาเป็นการใช้การบริโภคภายในประเทศแทน รวมไปถึงการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อการโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มยุโรปและญี่ปุ่นเองยังคงมีสัญญาณการฟื้นตัว โดยธนาคารกลางแสดงความพร้อมที่จะดำเนินนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อย่างต่อเนื่อง และอาจดำเนินการเพิ่มเติมได้อีกหากมีความจำเป็น
สำหรับเศรษฐกิจในกลุ่มยุโรปนั้นได้มีสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง อีกทั้งเศรษฐกิจอังกฤษและเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศหลักที่มีอยู่ในพอร์ตการลงทุนต่างขยายตัวได้ดี โดยอังกฤษเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วที่ขยายตัวได้ดีที่สุดในปีที่ผ่านมา ในขณะที่การส่งออกของเยอรมนีได้ประโยชน์อย่างมากจากการอ่อนค่าของค่าเงินยูโร
ขณะเดียวกัน ด้วยค่าเงินที่อ่อนค่าของญี่ปุ่นยังเป็นตัวช่วยสนับสนุนให้ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ดี ประกอบกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังคงมีความแข็งแกร่ง และมูลค่าหุ้นในปัจจุบันยังไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลังในอดีต ทำให้ประเทศญี่ปุ่นยังมีความน่าสนใจที่นักลงทุนจะเข้าไปลงทุน ทั้งนี้ ตลาดหุ้นของญี่ปุ่นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าช่วยให้ยอดส่งออกของญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ โดยเฉพาะการจ้างงานและการบริโภคปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่กองทุนบำเหน็จบำนาญของญี่ปุ่นได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นอีกด้วย
นางสาวฉัตรแก้ว กล่าวต่อว่า เรายังคงมีมุมมองในการลงทุนที่ดีต่อการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ซึ่งที่ผ่านมา บลจ.กรุงศรีเองก็มีกองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศหลากหลายกองทุน เช่น กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลเฮลธ์แคร์อิควิตี้ปันผล (KF-HEALTHD) ที่เน้นลงทุนในธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ยา เทคนิคการแพทย์ และบริการทางการแพทย์ขนาดใหญ่ทั่วโลก โดยแนวโน้มจากหลายประเทศพบว่าส่วนใหญ่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และวิวัฒนาการทางการแพทย์กำลังมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้กองทุนดังกล่าวมีผลประกอบการที่ดีในระยะยาว นอกจากนี้ บลจ.ยังมีกองทุนเปิดกรุงศรีเจแปนเฮดจ์ปันผล (KF-HJAPAND) และกองทุนเปิดกรุงศรียุโรปอิควิตี้ KF-EUROPE และกองทุนเปิดกรุงศรียุโรปอิควิตี้เฮดจ์ (KF-HEUROPE) ให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนอีกด้วย
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทย บลจ.กรุงศรีแนะนำให้ทยอยลงทุนในกองทุนเปิดกรุงศรีอิควิตี้ (KFSEQ) และกองทุนเปิดกรุงศรีอิควิตี้ปันผล (KFSEQ-D) ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีศักยภาพทางธุรกิจและมีโอกาสเติบโตสูง (Growth Stock) มีแนวโน้มปรับตัวได้โดดเด่นในภาวะที่เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายการลงทุนของภาครัฐ โดยกำไรของบริษัทฯ ที่กองทุนฯ ถือครองอยู่มีแนวโน้มเติบโตได้สูงกว่าตลาดฯ และราคาหุ้นที่อยู่ในพอร์ตหลายตัวยังไม่สะท้อนถึงผลประกอบการ จึงมีแนวโน้มที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นได้ในอนาคต