โดย ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ
Dr.win@one-asset.com
สวัสดีครับ ตลาดหุ้นจีนปีนี้ได้กลับมาปรับบวกกว่า 12% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะถูกคาดการณ์ว่าอาจเติบโตชะลอลงในช่วงปีนี้จากสัญญาณการชะลอตัวลงกว่าที่คาด ทั้งในส่วนของการผลิตอุตสาหกรรม การลงทุน และอสังหาริมทรัพย์จากสัญญาณการชะลอลงของดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมทั้งตัวเลขยอดขายบ้านและราคาบ้านที่ปรับลดลง ซึ่งทำให้นักลงทุนกลับมากังวลว่าเศรษฐกิจจีนในปีนี้จะสามารถขยายตัวได้เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ที่ใกล้เคียงกับระดับ 7% ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ทางการจีนตั้งใจจะผลักดันหรือไม่ และจะสามารถผลักดันให้ตลาดหุ้นจีนปีนี้ปรับตัวมากขึ้นได้มากน้อยเพียงไร
สำหรับในส่วนของเศรษฐกิจจีนในปีนี้ แม้ว่าจะชะลอตัวลงแต่ก็คาดว่าในการชะลอตัวลงก็ยังเติบโตได้ในระดับที่ใกล้เคียง 7% และด้วยขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของจีนก็นับว่าจีนเติบโตได้ไม่น้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่มีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกับจีน
ขณะที่นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนอื่นๆ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ เช่น การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่จะทำให้จีนเติบโตต่อในอนาคตซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนให้ตลาดหุ้นจีนไปต่อได้ค่อนข้างมาก จากความชัดเจนดังกล่าวทั้งในส่วนของนโยบายการเงินผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การปรับลดอัตราส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ
โดยในช่วงที่ผ่านมาทางการจีนได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้วกว่า 2 ครั้งในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา และปรับลด RRR เป็นรอบที่ 3 ตั้งแต่มีการดำเนินนโยบายการเงิน ซึ่งผมคาดว่าทางการจีนเองก็ยังคงมีนโยบายในการปรับลด RRR ได้เพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงถัดไป ซึ่งการปรับลดของ RRR แต่ละครั้งตลาดก็มีการคาดการณ์ว่าจะช่วยเพิ่มฐานเงินได้ถึง 660 พันล้านหยวน นั่นหมายถึงว่าหากทางการจีนปรับลด RRR ต่อเนื่องแล้วนั้นจะผลักดันให้สภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นและจะทำให้มีปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับเข้าสู่ระบบได้ดีขึ้น
รวมทั้งนโยบายการคลังผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น การสร้างถนนเพื่อเชื่อมโยงแต่ละมณฑลในประเทศ และเชื่อมโยงเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศเพื่อผลักดันการคมนาคมขนส่งของจีนให้มีความสะดวกสบายและง่ายต่อการดำเนินธุรกิจเพื่อลดต้นทุนการขนส่งในอนาคต รวมทั้งทางการจีนเองก็มีความตั้งใจที่จะทำให้เส้นทางการเชื่อมโยงของจีนเป็นเส้นทางที่ยาวที่สุดของโลกที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศได้ ทำให้การลงทุนภาครัฐในส่วนนี้จะเข้ามาสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจได้ดีขึ้น รวมทั้งสนับสนุนในส่วนของการจ้างงานในประเทศให้เติบโตได้ ซึ่งจะสนับสนุนให้แรงงานในประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้น และทำให้การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนเริ่มกลับมาดีขึ้นได้ในอนาคต
สอดคล้องไปกับนโยบายของทางการจีนเองที่ตั้งใจจะผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศกลับมาพึ่งพิงในส่วนของการใช้จ่ายภายในประเทศมากกว่าการพึ่งพิงเศรษฐกิจของต่างประเทศ อย่างเช่น การส่งออก ซึ่งตัวเลขสัดส่วนขององค์ประกอบของเศรษฐกิจจีน (GDP Breakdown) ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก็เริ่มเห็นแล้วว่าจีนมีสัดส่วนในการพึ่งพิงการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศเพิ่มขึ้น
อีกหนึ่งนโยบายสำคัญ ได้แก่ การปฏิรูปเศรษฐกิจให้ยั่งยืน ซึ่งคาดว่าน่าจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการผลักดันให้เป็นรูปธรรม เช่น การปฏิรูปที่ดิน การปฏิรูปภาษี และการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ แต่หากทำได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้วจริงนั้นก็น่าจะผลักดันให้มีการกระจายรายได้จากสังคมเมืองไปยังสังคมชนบทมากขึ้น ทำให้ชนบทสามารถจับจ่ายใช้สอยได้เพิ่มขึ้นตาม รวมทั้งเป็นการสนับสนุนความน่าสนใจของธุรกิจจีนมากขึ้นจากการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินธุรกิจ
ในส่วนของตลาดหุ้นจีนในช่วงถัดไป ผมยังมองว่าหุ้นจีนปีนี้จะยังมีโอกาสเติบโตได้อีกจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและความชัดเจนในด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านการผ่อนคลายนโยบายการเงินและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานผ่านนโยบายการคลัง รวมทั้งมูลค่าหุ้นจีนที่ยังอยู่ในระดับราคาที่ยังถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยภูมิภาคทั้งในส่วนของตลาดหุ้นกลุ่ม A-Share และ H-Share โดยปัจจุบันระดับราคาหุ้นต่อกำไร (PE) อยู่ระดับ 14.26 เท่า และ 8.26 เท่าตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียที่อยู่ที่ระดับ 14.95 เท่า
ประกอบกับการเชื่อมโยงตลาดหุ้นของจีนและฮ่องกง (Stock Connect) ที่สนับสนุนให้การซื้อขายระหว่างประเทศมีความสะดวกมากขึ้นและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา ก็สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนในการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นจีน ซึ่งส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนทยอยกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นจีนเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยในจีนเอง รวมทั้งโมเมนตัมการลงทุนจากแรงซื้อของนักลงทุนในประเทศยังคงไปต่อได้ ประกอบกับแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันที่น่าจะมีเข้ามาเพิ่มเติมจากการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ QDII ของทางการจีนที่อนุญาตให้นักลงทุนกองทุนรวมในจีนสามารถนำเงินมาลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง (H-Share) ได้ ทำให้มองว่าจีนยังเป็นตลาดหุ้นที่น่าสนใจอีกหนึ่งตลาดที่มีโอกาสสร้าง Upside Gain ให้แก่นักลงทุนได้ในช่วงนี้
จากการคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจีนยังมีโอกาสไปต่อได้ แม้ว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นไปในระดับหนึ่งแต่เชื่อว่าโมเมนตัมของหุ้นจีนที่ยังสามารถทำให้หุ้นจีนปรับตัวขึ้นได้จากปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนทั้งในด้านของมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเชื่อมโยงตลาดหุ้น ขณะที่มูลค่าหุ้นที่ยังต่ำ ทำให้ บลจ.วรรณเสนอขายกองทุนเปิด วรรณ ไชน่า แวลู 5/3 ฟันด์ ออกมารองรับจังหวะหุ้นจีนดังกล่าวหลังจากที่กองทุนเปิด วรรณ ไชน่า แวลู 5/2 ฟันด์และกองทุนเปิด วรรณ อีโคโนมิค โมท 7 ฟันด์ ได้ปิดกองทุนฯ ได้ตามเป้าหมายและระยะเวลาการลงทุนที่ตั้งไว้ โดยกองทุนฯ นี้จะเสนอขายระหว่างวันที่ 8-22 เม.ย. 58 โดยมีเป้าหมายเลิกโครงการที่ 5% ในระยะเวลา 5 เดือน
โดยจะเน้นการลงทุนในหน่วยลงทุน ETF ประมาณ 60% โดยกระจายการลงทุนเป็นหน่วยลงทุน ETF ประเภท H-Share 40% จากระดับราคาหุ้นที่ต่ำกว่าและอานิสงส์ของการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ QDII ของทางการจีนที่สนับสนุนให้มีกระแสเงินทุนไหลเข้าใน H-Share ได้มากขึ้น ขณะที่มีกระจายการลงทุนในหน่วยลงทุน ETF ประเภท A-Share เพื่อกระจายการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังไม่ครอบคลุมใน H-Share อีก 20% รวมทั้งคัดเลือกหุ้น (Stock Selection) ในหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจและมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้กับกองทุนอีก 40% โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โครงสร้างพื้นฐาน ประกัน และกลุ่มสื่อสาร เป็นต้น
•หากนักลงทุนสนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายบริการลูกค้าและสนับสนุนธุรกิจที่หมายเลข 0-2659-8888 ต่อ 1
•ทั้งนี้ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน