xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.ภัทรชูสร้างยิลด์ให้ลูกค้า เล็งรุกธุรกิจไพรเวตฟันด์เพิ่ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บลจ.ภัทรเน้นสร้างผลการดำเนินงานและผลตอบแทนให้โดดเด่นมากกว่าสร้าง AUM เตรียมลุยธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้น เผยเล็งส่งกองทุนหุ้นใหม่ชูกลยุทธ์การบริหารที่แตกต่างจากกองทุนทั่วไป คาดเปิดขาย IPO กลางปีนี้

นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ภัทร จำกัด เปิดเผยว่า มูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารจัดการ หรือ AUM ในปี 2557 อยู่ที่ 37,000 ล้านบาท โดยมี AUM ในส่วนของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท

สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้เราก็ยังคงเน้นการเติบโตเหมือนปีที่ผ่านมา แต่เราจะให้น้ำหนักเรื่องของการบริหารจัดการกองทุนให้มีผลการดำเนินงานที่ดีเพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่นักลงทุน มากกว่าที่จะเน้นการสร้าง AUM ให้เติบโตโดยไม่ได้ให้ความสำคัญต่อกองทุนที่บริหารจัดการโดยเฉพาะผลการดำเนินงานและผลตอบแทน

โดย บลจ.ภัทรจะเป็น บลจ.ที่เน้นตอบโจทย์การลงทุนของนักลงทุน ซึ่งที่ผ่านมา บลจ.ภัทรก็มีกองทุนครบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กองทุนรวมหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ และกองทุนตราสารหนี้

ส่วนธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลนั้นเรามีแผนจะขยายธุรกิจในส่วนนี้เพิ่ม โดยส่วนใหญ่ฐานลูกค้ากองทุนส่วนบุคคลจะเป็นแบบ Hi Network หรือประมาณ 30 ล้านขึ้นไป

“กลางปีนี้เรามีแผนจะออกกองทุนใหม่ โดยจะเป็นการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งจะมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากการลงทุนในกองทุนรวมทั่วไป โดยเราจะใช้หลักการคำนวณเป็นพิเศษเข้ามาช่วยในการลงทุน”นายยุทธพลกล่าว

นายยุทธพล กล่าวต่อว่า สำหรับการลงทุนนั้นเราอยากแนะนำให้นักลงทุนจัดการลงทุนที่เหมาะสม โดยปัจจุบันการลงทุนในตลาดหุ้นยังให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ทั้งนี้ บลจ.ประเมินว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้จะอยู่ในกรอบ 1,400-1,700 จุด โดยปัจจุบันดัชนีฯ เฉลี่ยอยู่ที่ 1,500 จุดซึ่งราคาไม่ได้ถูกเท่าใดนัก

ทั้งนี้เรามองว่าปัจจัยภายในโดยเฉพาะนโยบายการลงทุนของภาครัฐจะเป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นเติบโตต่อไปได้ ส่วนปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกนั้นก็ยังต้องจับตามองด้วยเช่นกัน สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลางนั้น

ในด้าน Tactical บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน ) แนะนำให้มีหุ้นในพอร์ตประมาณ 50% แบ่งเป็นหุ้นในประเทศ 33% หุ้นต่างประเทศ 17% ส่วนตราสารหนี้ควรมีอยู่ในพอร์ต 28% แบ่งเป็นตราสารหนี้ในประเทศ 25% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 3% การลงทุนอื่นๆ ในพอร์ตที่เหลืออีก 15% แบ่งเป็น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 10% ทองคำ 2% สินค้าโภคภัณฑ์ 3% และเงินสดอีก 7% เป็นต้น


กำลังโหลดความคิดเห็น