บลจ.กรุงไทยมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่ง แนวโน้มตัวเลขสำคัญๆ ทางเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ประเมินเฟดน่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงกลางปีนี้ และคาดว่าเฟดน่าจะเริ่มส่งสัญญาณภายในไตรมาส 2 นี้ ล่าสุดส่งกองทุน “เคแทม ยูเอส โกรท อิควิตี้ ฟันด์” ชูนโยบายกองทุนหลักน่าสนใจ เปิดขายไอพีโอครั้งแรกตั้งแต่วันนี้ถึง 27 กุมภาพันธ์ 2558 นี้
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยของ บลจ.กรุงไทยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องถึงแม้ว่าตัวเลขจีดีพีล่าสุดในไตรมาสที่ 4 ปี 2557 จะขยายตัว 2.6 % ซึ่งขยายตัวน้อยกว่า2 ไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ระดับ 4.6 และ 5.0% โดยการบริโภคภาคเอกชนซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจยังคงขยายตัวในระดับสูงที่ 4.3% และสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 3 ไตรมาสที่ผ่านมา การก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี รวมทั้งการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นถึงแม้ว่าจะส่งผลให้ดุลการค้าและเศรษฐกิจขยายตัวลดลง แต่เป็นการสะท้อนว่าอุปสงค์ของประเทศปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเป็นผลมาจากการใช้จ่ายภาครัฐที่หดตัวลงไป การส่งออกที่ชะลอตัวตามภาวะซบเซาของเศรษฐกิจโลก และการลงทุนภาคธุรกิจที่เจริญเติบโตลดลง ส่วนการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เดือน ม.ค. 2558 เพิ่มขึ้น 257,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และสูงกว่า 200,000 ตำแหน่งเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน ในขณะที่อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำถึงแม้จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 5.7% จาก 5.6% ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจมีทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เรามองว่าเฟดน่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงกลางปีนี้ และคาดว่าเฟดน่าจะเริ่มส่งสัญญาณภายในไตรมาส 2นี้
นางชวินดา กล่าวต่อว่า บริษัทเตรียมเปิดจำหน่าย กองทุนเปิดเคแทม ยูเอส โกรท อิควิตี้ ฟันด์ ( KT-US) ในวันที่ 16-27 กุมภาพันธ์ 2558 โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Legg Mason ClearBridge US Aggressive Growth Fund (กองทุนรวมหลัก) ซึ่งเป็นกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (retail fund) เพียงกองเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม
ส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ ทั้งนี้ในบางช่วงเวลากองทุนอาจจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงิน กองทุนจึงมีนโยบายที่อาจพิจารณาใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยนโยบายกองทุนรวมหลักจะเน้นลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทสหรัฐฯ ที่จดทะเบียนหรือมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลในสหรัฐอเมริกา ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
โดยผู้บริหารกองทุนรวมหลัก ซึ่งมีผู้จัดการกองทุนที่บริหารกองทุนในนโยบายเดียวกันนี้ของบริษัทอย่างต่อเนื่องมากว่า 30 ปี จะใช้วิธีการคัดเลือกบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด และมีสัดส่วนราคาต่ออัตราการเติบโตของกำไร ( PEG) ไม่สูงเกินกว่า 2 เท่า ซึ่งพอร์ตการลงทุนจะประกอบด้วยหลักทรัพย์ ประมาณ 50-80 หลักทรัพย์ โดยเน้นหนักหลักทรัพย์ใน 10 อันดับแรกประมาณ 50% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ส่วนที่เหลือจะลงทุนในสัดส่วนที่น้อยกว่าเพื่อช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวม กองทุนให้ความสำคัญต่อการลงทุนในระยะยาว
โดยมีปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์หมุนเวียนต่ำช่วยให้หุ้นที่กองทุนถือครองอยู่มีศักยภาพในการเติบโตที่สูง และมีกระบวนการสอบทานอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามและบริหารความเสี่ยงโดยพิจารณาจากการวิเคราะห์บริษัท และการวิเคราะห์ความเสี่ยง
สำหรับอัตราผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2014 ย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 13.62% ย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 22.86% และย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 17.39% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่เทียบกับดัชนีอ้างอิง 3000 Growth ที่ย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 12.44% ย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 20.25% และย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 15.89%
“กองทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปในต่างประเทศที่มุ่งเน้นลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทสหรัฐฯ ที่จดทะเบียนหรือมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ เป็นหลัก และสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ทั้งจากการลงทุนในหลักทรัพย์ และความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศได้ ซึ่งผู้ลงทุนควรจะต้องเข้าใจต่อความผันผวนของมูลค่าหน่วยลงทุนที่อาจจะเกิดขึ้นจากการลงทุน โดยที่ระยะเวลาการลงทุนที่เหมาะสมควรจะลงทุนระยะปานกลางถึงระยะยาว” นางชวินดากล่าว