เลขาฯ กบข.ยันสภาพคล่องแสนล้านบาทต่อปี พอรับมือข้าราชการใช้สูตรบำเหน็จบำนาญเดิมโดยไม่ต้องขายสินทรัพย์ลงทุน ระบุตำรวจ-ทหารจ่อใช้สิทธิมากสุด พร้อมโชว์ยิลด์ลงทุนล่าสุด 5.9% หลังหุ้นไทยฉุดล่วงจากเดิมที่ทำได้ 8% เผยปีหน้างานยาก แต่ยิลด์ชนะเงินเฟ้อแน่นอน
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า ความพร้อมของ กบข.ในการเปิดให้ข้าราชการที่รับราชการก่อน 27 มี.ค. 2540 กลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญตาม พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 นั้น ขณะนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมและการบริหารกระแสเงินสดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยปัจจุบัน กบข.มีสมาชิกทั้งหมด 1.2 ล้านคน และคาดว่าจะมีสมาชิกที่กลับไปใช้ระบบบำนาญเดิมประมาณ 2.1 แสนคนจากจำนวนสมาชิกที่มีสิทธิ์ประมาณ 7 แสนคน และคาดว่าจะมีประมาณ 5 แสนคนที่ยังคงเป็นสมาชิกของ กบข.อยู่
สำหรับเงินสะสมที่ทาง กบข.ต้องเตรียมไว้จ่ายคืนสมาชิกจะอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท สำหรับสมาชิก 30% ที่จะลาออก และหากเกิดกรณีที่มีสมาชิกขอใช้สิทธิดังกล่าวเพิ่มถึง 50% หรือคิดเป็นเงินประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาท ทาง กบข.เองก็สามารถบริหารสภาพคล่องและคืนเงินส่วนนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องขายสินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่ออกไปแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสมาชิกที่จะลาออกจากกองทุนส่วนใหญ่จะเป็นข้าราชการตำรวจ และทหาร 25% ส่วนที่เหลือนอกเหนือจากนี้น่าจะยังเลือกอยู่กับกองทุนต่อไป เพราะข้าราชการตำรวจและทหารจะได้เปรียบกว่าข้าราชการทั่วไปในกรณีการนับอายุราชการที่เริ่มตั้งแต่เข้าเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร
ทั้งนี้ สมาชิกที่ต้องการจะใช้สิทธิดังกล่าวจะสามารถยื่นความจำนงขอใช้สิทธิได้ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2558 และจะมีผลในวันที่ 1 ต.ค. 2558 โดยจะมีเวลาให้ กบข.ในการบริหารสภาพคล่องประมาณ 3 เดือน จากเดิมที่เคยกำหนดไว้ว่าจะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย. 58
“สภาพคล่องของ กบข.ไม่น่าห่วง และคงไม่ต้องขายทรัพย์สินแล้วกระทบตลาด เพราะเวลาที่ได้รับเพิ่มมา 3 เดือนพอที่จะทำให้เราบริหาร โดยเงินสะสมของสมาชิกนั้นจะมีเข้ามาประมาณ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี และเมื่อหักเงินที่จ่ายให้แก่ผู้เกษียณอายุ 2 หมื่นล้านบาทแล้วจะเหลืออยู่อีก 1 หมื่นล้านบาท และเมื่อรวมกับเงินสมทบ ผลตอบแทนจากการลงทุน ตลอดจนตราสารหนี้ที่ทยอยครบอายุแล้วจะทำให้ กบข.มีกระแสเงินสดแต่ละปีอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อการลาออกของสมาชิกตามที่คาดการณ์ไว้ได้”นายสมบัติกล่าว
ยิลด์วูบเหลือ 5.9% แต่ยังชนะปี 56
นายสมบัติ กล่าวอีกว่า การลงทุนของ กบข.ในปีนี้เคยสามารถทำผลตอบแทนได้สูงสุดถึง 8% ก่อนปรับตัวลดลงมาเหลือ 5.9% ในต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาจากการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์เกือบ 10% โดยสรุปแล้วคาดว่าปีนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนของ กบข.น่าจะอยู่ที่ประมาณ 6% หรืออาจบวกลบกว่านี้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนดังกล่าวถือว่ายังสูงกว่าในปี 2556 ซึ่งอยู่ที่ 4.5%
ทั้งนี้ ปัจจุบัน กบข.มีสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ 703,809 ล้านบาท สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 6.9% ต่อปี โดยแบ่งเป็นการลงทุนในตราสารหนี้พันธบัตรรัฐบาลประมาณ 60% หุ้นไทย 11.5% หุ้นต่างประเทศ 14% ที่เหลือเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และอื่นๆ
“ปีหน้าภาพรวมการลงทุนจะยากขึ้น ผลตอบแทนที่ได้อาจจะไม่เท่ากับปี2557 ที่ผ่านมา แต่ก็เชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราเงินเฟ้อได้ โดยยังมั่นใจว่าผลตอบแทนที่ทำได้น่าจะชนะเงินเฟ้อประมาณ 2.0% ถ้ามองเงินเฟ้อในปี 2558 เฉลี่ยที่ประมาณ 2.0% ผลตอบแทนในระดับประมาณ 4.0% กว่าก็เป็นผลตอบแทนในระดับที่สามารถจะทำได้แน่นอน”