หลังจากที่ ดร.วรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เปิดเผยว่า ก.ล.ต.ได้ทำการปรับปรุงเกณฑ์คำนวณหลักทรัพย์ที่มีอัตราการซื้อขายหมุนเวียนสูง (Turnover List) เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการซื้อขายในปัจจุบัน โดยเริ่มใช้เกณฑ์ใหม่ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย.นี้ ก็เริ่มเห็นตลาดหลักทรัพย์กลับมามีสภาวะปกติมากขึ้น
โดยการปรับปรุงดังกล่าวจะครอบคลุม
1. การไม่กำหนดจำนวนหลักทรัพย์ที่ติดเกณฑ์เทิร์นโอเวอร์ลิสต์ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) จากเดิมที่มีการกำหนดจำนวนไว้ และ
2. การเพิ่มเติมกรณีที่หุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนทั้งที่ติดเทิร์นโอเวอร์ลิสต์ ให้ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (Warrant) ของบริษัทนั้นติดเทิร์นโอเวอร์ลิสต์ควบคู่ไปด้วย รวมทั้ง
3. ปรับปรุงสูตรการคำนวณให้ไม่ซับซ้อน โดยยังคงให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับของเดิม
เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการร่วมแรงร่วมใจในการลดความร้อนแรงของหุ้นอย่างได้ผล
ผมเองมีความเห็นว่า การประกาศหลักทรัพย์ที่มีอัตราการซื้อขายหมุนเวียนสูง (Turnover List) ไม่ใช่เป็นการลงโทษบริษัทจดทะเบียนนั้นๆ แต่อย่างใด แต่เป็นการเตือนนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนเฉพาะกรณีที่มีพีอีเรโชสูงมาก หรือขาดทุนว่า ต้องรอบคอบ และเพื่อป้องกันความเสี่ยงของคนอื่น หากจะลงทุนหุ้นเสี่ยงก็จำกัดความเสี่ยงที่เงินลงทุนของนักลงทุนเอง
เราเคยเห็นลูกโป่งแตกครั้งใหญ่สมัย 1994-1998 ซึ่งเป็นผลให้นักลงทุนขาดทุนหมดตัวกันเป็นร้อยเป็นพัน สถาบันการเงินในยุคนั้นต้องปิดไป 56 แห่งในยุครัฐบาล พลเอก ชวลิต ส่วนหนึ่งก็เพราะความเสียหายจากธุรกิจมาร์จิ้นโลน คือปล่อยกู้ซื้อหลักทรัพย์นี้
เราเคยเห็นลูกโป่งแตกอีกครั้งในช่วงปี 2008 ซึ่งหุ้นบางหุ้นตกจากมูลค่าตลาดหุ้น 2 หมื่นล้านบาท เหลือเพียง 200 ล้านบาท ใน 8 วัน โปรดอ่านอีกครั้งหนึ่ง
“มูลค่าตลาดหุ้น 2 หมื่นล้านบาท เหลือเพียง 200 ล้านบาท ใน 8 วัน”
โบรกเกอร์ที่ปล่อยสินเชื่อหุ้นนี้หนักๆ ขาดทุนเฉพาะกลุ่มนี้กว่า 650 ล้านบาท และ ขาดทุนปีนั้น 1 พันล้านบาท ซึ่งโบรกเกอร์ขาดทุนเมื่อลูกค้าต้องล้มละลายเสียก่อน
ถามว่า ถ้าเราได้บทเรียนราคาแพงจาก “ลูกโป่งแตก” ที่ผ่านมา เราจะต่างคนต่างเฉย ปล่อยให้ลูกโป่งพองตัวใกล้แตก และปล่อยให้ประชาชนผู้ลงทุนที่สุจริต หลงเข้ามาในตลาดหุ้น และกลายเป็น “แมลงเม่า” ที่เป็นเหยื่อในรอบนี้อีกหรือ?
ครั้งที่แล้ว ผมจำได้มีลูกค้าบางราย ค้างชำระเรา 1 ล้านบาทเศษ ในที่สุดเป็นหนี้เป็นสินติดตัว ต้องผ่อนชำระอยู่เป็นปี เขาบอกกับเราว่า “หน้าห้องท่านบอกว่า ซื้อได้เลย กำไรแน่นอน” ก็เลยซื้อเต็มที่ แต่พอตกแล้ว “ท่าน” ก็ไม่รับสายเลย
ผมว่าเรื่องอย่างนี้ควรหยุดได้แล้ว และถ้าจะถามผมว่า แล้วเราจะสกัดลูกโป่งไม่ให้ไปแตกในมือประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไร ผมคิดว่า ประการแรก เราต้องประเมินว่าเป็นลูกโป่งแล้วหรือยัง
ผมฟันธงว่า โดยภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ (SET) โดยเฉลี่ยไม่เป็นลูกโป่ง เพราะพีอีเรโช บนกำไรย้อนหลังยังอยู่เพียง 18.79 เท่า และหากคิดเทียบกำไรปีหน้าจะเพียงประมาณ 14 เท่าเท่านั้น ยังไม่แพงเลย (แต่หากมองเป็นรายหุ้น อาจมีหุ้นส่วนน้อยที่พีอีเรโชสูงๆ หรือขาดทุน ซึ่งนักลงทุนควรระวังเช่นกัน)
แต่ภายในตลาดหลักทรัพย์ mai จะมีหลายหุ้นที่เป็น “ลูกโป่ง” เช่น พีอีเรโชเกิน 40 เท่า บางหุ้นไปถึงกว่า 100 เท่า หรือขาดทุนทำให้หาค่าพีอีเรโชไม่ได้ (แต่หลายหุ้นก็มีระดับพีอีเรโชที่ไม่ผิดปกติ)
หากเทียบกับปี 1994 ตอนที่ตลาดหุ้นสูงสุด พีอีเรโชย้อนหลังอยู่ที่ 28 เท่า จึงถือว่าสูงกว่าตลาด SET ในปัจจุบันมาก และระดับ SET ในปัจจุบันจึงไม่น่าเป็นห่วง (เว้นหุ้นบางตัวที่ติด Turnover List)
และพีอีเรโชของตลาด mai ที่ประมาณ 67 เท่า จึงสูงมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในปี 1994 ที่ 28 เท่าก่อนลูกโป่งแตก จึงเป็นสัญญาณที่น่าระมัดระวังจริงๆ
ในยุคนั้นจึงเริ่มมีมาตรการขึ้นดอกเบี้ย หรือนโยบายอื่นๆ เพื่อหวังว่าลูกโป่งจะค่อยๆแฟบลงมา ประชาชนให้เดือดร้อนน้อยหน่อย
ในยุคนี้หากชาวตลาดทุนร่วมกันทำให้ “ลมลูกโป่งค่อยๆ ผ่อนออก” ได้ โดยประชาชนไม่เข้าไปเป็นตัวประกัน หรือเป็นเหยื่อแบบแมลงเม่ากันมากนัก ผมว่าเราก็ได้สร้างคุณูปการให้กับตลาดทุน และลูกค้าผู้มีพระคุณของเรากันอย่างดี
และบรรยากาศตลาดหุ้นเองก็ดีทีเดียว หลังจากจีนมีสัญญาณลดดอกเบี้ย ยุโรปมีนโยบายผ่อนคลายด้านการเงิน ตลาดดาวโจนส์สร้าง New High ใหม่ ฯลฯ หากนักลงทุนลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน อยู่บนหุ้นที่รู้คุณค่า นักลงทุนก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจได้ครับ ผมขอปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันขึ้นในสัปดาห์ เพื่อเตือนใจทุกท่านในวงการตลาดทุนด้วยดังตารางนี้ครับ
หวังว่า ชาวตลาดทุน จะร่วมแรงร่วมใจทำให้ตลาดหุ้นของเรา ทั้งตลาดใหญ่ และ ตลาดใหม่ กลับมาซื้อขายตามปัจจัยพื้นฐาน ไม่ให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์หลงเข้าไปเป็นเหยื่อแบบแมลงเม่า ตลาดทุนไทยก็จะแข็งแรงยั่งยืนตลอดไปครับ
มนตรี ศรไพศาล (montree4life@yahoo.com; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)