กรุงเทพประกันภัยเผยผลงาน 9 เดือนมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 3,651 ล้านบาท มีกำไรกว่า 1,900 ล้านบาท พร้อมจ่ายเงินปันผลอัตราหุ้นละ 2.75 บาท คาดปีหน้าเศรษฐกิจไทยเติบโตหนุนธุรกิจประกันภัยเติบโตกว่า 12%
นายพนัส ธีรวณิชย์กุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 3 ของปี 2557 บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวมที่ 3,651 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2556 หรือลดลงร้อยละ 0.4 โดยมีกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 722.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 79.4 รายได้สุทธิจากการลงทุน 328.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 หักเงินสมทบฯ และต้นทุนทางการเงิน 17.5 ล้านบาท ทำให้มีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 1,032.7 ล้านบาท และเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 863.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2556 ร้อยละ 56.9 และมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 8.11 บาท โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างงวดที่ 3 (ก.ค.-ก.ย.) ของปี 2557 แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 2.75 บาท
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงาน 9 เดือนของปี 2557 ที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 11,430.7 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2556 ลดลงร้อยละ 0.4 มีผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 1,259.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 90.5 รายได้สุทธิจากการลงทุน 1,004.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.5 หักเงินสมทบฯ และต้นทุนทางการเงิน 57.0 ล้านบาท ทำให้มีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 2,206.6 ล้านบาท และเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้วมีกำไรสุทธิ 1,902.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.8 กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 17.87 บาท
“คาดว่าสิ้นปี 2557 นี้บริษัทฯ จะมีเบี้ยประกันภัยรับรวมที่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 16,700 ล้านบาท หรือเติบโตที่ระดับ 4.4% จากที่ตั้งเป้าไว้ที่ระดับ 5% จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งในช่วงปีนี้บริษัทประกันภัยคู่แข่งมีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงมากขึ้น”
สำหรับธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2558 สมาคมประกันวินาศภัยไทยคาดการณ์เบี้ยประกันภัยรับโดยตรงจะเติบโตร้อยละ 12 คิดเป็นเบี้ยฯ 235,200 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่ส่งผลต่อธุรกิจประกันภัยเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยจะมีปัจจัยบวกต่อธุรกิจประกันในช่วงปีหน้า ได้แก่ การส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัว 4% ขณะที่การนำเข้าน่าจะขยายตัวที่ 9.5% การปล่อยสินเชื่อธนาคารทั้งระบบในปีหน้าคาดว่าจะขยายตัว 5.7% และโดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปีหน้าคาดว่าจะขยายตัว 8.5% การขยายรถยนต์ในปีหน้าคาดว่าจะโต 3.1% อย่างไรก็ตามยังต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยการเมืองเป็นหลักด้วย
โดยคาดว่าปีหน้าเศรษฐกิจโลกน่าจะเติบโตที่ระดับ 4% โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะโตที่ 4% เศรษฐกิจจีนในปีหน้าโตที่ 7.1% ในภูมิภาคอาเซียนยังมีการเติบโตเล็กน้อย เช่นเดียวกับยุโรปที่น่าจะเติบโต 1.7% ในปีหน้า ขณะที่ญี่ปุ่นน่าจะมีการหดตัวลงเล้กน้อย โดยรวมเศรษฐกิจโลกในปีหน้ายังเติบโตอยู่จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตเป็นหลัก ด้านเศรษฐกิจไทยคาดว่าในปีนี้จีดีพีเติบโตที่ 1.5% และในปีหน้าคาดว่าจะโตที่ 4.8%
“ในปีหน้าทางบริษัทก็ยังจะเน้นการเติบโตที่รายย่อยเป็นหลัก แต่ก็ยังเน้นที่การเติบโตรายใหญ่เช่นกัน พร้อมกับการจัดการความเสี่ยงซึ่งในปีหน้าจะเป็นเรื่องภัยธรรมชาติทั้งภัยแล้งและแผ่นเดินไหว ขณะเดียวกันทางบริษัทจะทำงานใกล้ชิดกับคู่ค้ามากขึ้น รวมทั้งการขยายสาขาใหม่ปีหน้าอีก 3-4 แห่งให้มีความทั่วถึงมากขึ้น โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการขยายสาขาสู่ระดับภูมิภาค โดยมีการเปิดสาขาใหม่ 5 แห่ง และเป็นการยกระดับสาขาเต็มรูปแบบ 6 แห่ง”
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับผู้ขับรถยนต์ โครงการ “Insurance Telematics System Corporation” โดยติดตั้งอุปกรณ์เสริมที่เชื่้อมต่อสัญญาณ GPS และ GSM ในรถยนต์เพื่อเก็บข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่ และสามารถให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ซึ่งเตรียมที่จะเริ่มให้บริการในช่วงปีหน้า