BKI เผยกำไรไตรมาสแรกปี 57 โต 61% มีเบี้ยรับรวม 3,897 ล้านบาท ลดลง 7.9% จากผลกระทบจากการเมือง หั่นเป้าโตปีนี้เหลือ 5% เตรียมจ่ายปันผลงวดแรกปีนี้อัตรา 2.75 บาทต่อหุ้น
นายพนัส ธีรวณิชย์กุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 (ม.ค.-มี.ค.) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 3,897 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2556 ลดลงร้อยละ 7.9 กำไรจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 420.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 623.4 รายได้สุทธิจากการลงทุน 337.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16.8 และเมื่อรวมกำไรทั้ง 2 ส่วนมีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 736.9 ล้านบาท และเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้วบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 627.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.0 กำไร ดังนั้นทำให้มีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานที่ทำได้อยู่ที่ 5.89 บาท
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ซึ่งได้ประชุมเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2557 มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดที่ 1 (ม.ค.-มี.ค.) ของปี 2557 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 2.75 บาท
ทั้งนี้ภาพรวมอุตสาหกรรมประกันในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมานั้น พบว่าประกันวินาศภัยเติบโตอยู่ที่ 34,574 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3% ขณะที่ประกันภัยรถยนต์โตอยู่ที่ 19,424 ล้านบาท คิดเป็น 0.8%
ส่วนภาวะรวมด้านเศรษฐกิจในปีนี้ต้องดูปัจจัยต่างๆ ได้แก่ การเติบโตของจีดีพี ซึ่งในปีนี้คาดว่าโตอยู่ที่ 1.5-2% ซึ่งปัจจัยกระทบก็มาจากสถานการณ์ด้านการเมืองในปัจจุบัน แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้นแต่ไทยชะลอตัวลง ปัจจัยต่อมาคือเรื่องยอดขายรถยนต์ที่ตกลงจากเมื่อปีที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาสแรกของปีนี้
ขณะที่สินเชื่อธนาคารเติบโตลดลง ซึ่งมีผลต่อการลงทุนและผู้ประกอบการซึ่งคาดว่าในปีนี้จะเติบโตอยู่เพียง 5-7% รวมไปถึงการส่งออกที่ชะลอตัวลง และการสร้างที่ชะลอหลังน้ำท่วม
“ภาพรวมในปีนี้เศรษฐกิจไม่น่าโตมากในปีนี้หากไม่มีรัฐบาลเข้ามาบริหาร หากมีรัฐบาลเข้ามาบริหารก็อาจฟื้นขึ้นมาได้ แนะขณะเดียวกันก็จะมีผลทำให้ธุรกิจประกันภัยในปีนี้ไม่น่าโตมาก และยังมีปัจจัยลบเข้ามา เช่น เรื่องการแข่งขันด้านราคา และการไม่มีธุรกิจที่เติบโตให้เอื้อต่อการโตของประกัน เช่น ยอดการขายรถยนต์ที่ลดลง”
ส่วนแผนการในปีนี้ที่เหลือ ทางกรุงเทพประกันภัยจะไม่เน้นแข่งขันด้านราคา เพราะช่วง 3 -4 ปีที่ผ่านมามีเบี้ยรับเติบโตในระดับสองหลักอยู่แล้ว ดังนั้นจึงจะไปเน้นเรื่องระบบปฏิบัติงานในด้านต่างๆ ทั้งระบบการให้บริการทางออนไลน์ การดูแลเรื่องสินไหม การดูแลลูกค้าโดยระบบทางโทรศัพท์ รวมไปถึงเน้นการควบคุมเรื่องภัยสะสมอย่างแผ่นดินไหว เหมือนที่เคยดูแลเรื่องน้ำท่วมมาแล้ว
“จากปัจจัยผลกระทบต่างๆ ดังกล่าวเราจึงปรับลดเป้าการเติบโตในปีนี้จาก 15% หรือเติบโตประมาณ 18,000 ล้านบาท ลงมาอยู่ที่ 5% เป็นการเติบโตเท่าตลาดประกันภัย ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่เติบโตถึง 20% หรือประมาณ 15,803 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็พยามยามบริหารให้สามารถมีผลกำไรและจ่ายปันผลให้ได้ทุกไตรมาส”
ส่วนผลกระทบจากเรื่องแผ่นดินไหวนั้นไม่มีผลกระทบมาก เท่าที่ประมาณในช่วง 3 วันหลังเกิดเหตุการณ์ มีความเสียหายที่คาดว่าจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนประมาณ 30-50 ล้านบาทเท่านั้น
สำหรับการลงทุนในภาวะตลาดแบบนี้ อาจมีการทยอยสะสมลงทุนบ้างหากดัชนีปรับลงมาที่ระดับประมาณ 1,200 ปลายๆ ถึงระดับ 1,300 จุด ซึ่งมีวงเงินที่เตรียมลงทุนนี้ประมาณ 500 ล้านบาท โดยเป็นหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่มีการตกลงมา รวมไปถึงหุ้นกลุ่มสนามบิน