“สาลี่ พริ้นท์ติ้ง” ยื่นไฟลิ่ง ก.ล.ต. เรียบร้อยแล้ว จ่อขาย IPO จำนวน 420 ล้านหุ้น เล็งเข้าเทรดใน SET โดยมี บล.คันทรี่ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า บริษัท สาลี่ พริ้นท์ติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SLP ได้ยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 27 ต.ค.57 เนื่องจากบริษัทจะเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 420 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บริษัท สาลี่อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ SALEE จำนวน 120 ล้านหุ้น และหุ้นเพิ่มทุนใหม่ 300 ล้านหุ้น โดยหุ้นทั้งหมดจะเสนอขายต่อผู้ถือหุ้นของ SALEE ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Pre-emptive Right) จำนวนไม่เกิน 126,707,006 หุ้น และเสนอขายประชาชนทั่วไปจำนวน 173,292,994 หุ้น
ทั้งนี้ บริษัทมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งมี บล.คันทรี่ กรุ๊ป เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และวัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้ในการก่อสร้างอาคารโรงงานและคลังสินค้า และใช้ชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
สำหรับบริษัท สาลี่ พริ้นท์ติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SLP รับผลิตฉลากสินค้าและงานพิมพ์คุณภาพสูง ผลิตภัณฑ์ของบริษัทสามารถแบ่งออกตามคุณลักษณะและการใช้งานเป็น 3 ประเภทหลัก คือ 1. ฉลากสินค้าที่มีกาวในตัว 2. ฉลากสินค้าแบบผนึกในแม่พิมพ์บรรจุภัณฑ์ และ 3. งานพิมพ์ผลิตภัณฑ์กระดาษที่ไม่มีกาว
โดยผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 57 บริษัทมีรายได้รวม 356.46 ล้านบาท กำไรสุทธิ 64.31 ล้านบาท และมีสินทรัพย์รวม 685.03 ล้านบาท หนี้สินรวม 357.28 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 327.75 ล้านบาท โดยบริษัทระบุว่า กำไรสุทธิลดลง 20.62 ล้านบาท หรือ 24.28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย สาเหตุหลักมาจากต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มสูงขึ้นและมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงจากการปรับลดลงของราคาขายให้กับลูกค้าเดิมรายใหญ่รายหนึ่ง
ทั้งนี้ ณ วันที่ 1 ส.ค.57 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 1,200 ล้านหุ้น และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 225 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 900 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท
สำหรับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ 1 ส.ค.57 คือ บริษัท สาลี่อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ SALEE ถือหุ้น 899,999,998 หุ้นหรือคิดเป็น 99.99% หลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วการถือหุ้นจะลดลงเหลือ 799,999,998 หุ้นหรือคิดเป็น 65%
ขณะที่ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลในแต่ละปี