นายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนประเภท Asset Allocation Fund พร้อมกันจำนวน 3 กองทุน สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2556 ถึง วันที่ 31 สิงหาคม 2557 ประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์สมาร์ทแพลน 2 (SCB Smart Plan 2 Open End Fund) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ สมาร์ทแพลน 3 (SCB Smart Plan 3 Open End Fund) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์สมาร์ทแพลน 4 (SCB Smart Plan 4 Open End Fund) โดยจะจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 24 กันยายน 2557 นี้
“คอนเซ็ปต์ของการลงทุนของกองทุน SCB Smart Plan แต่ละกองทุนนั้นจะมีลักษณะการจัดพอร์ตการลงทุน ในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ลูกค้ารับได้ และไม่เกินกรอบความเสี่ยงสูงสุดตามที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ทั้งนี้กรอบความเสี่ยงจะอิงกับแบบประเมินความเสี่ยงที่จัดทำโดยสำนักงาน ก.ล.ต. แบ่งความเสี่ยงออกเป็น 5 ระดับ จากความเสี่ยงต่ำสุดคือระดับ 1 ไปจนถึงความเสี่ยงสูงสุดที่ระดับ 5 สำหรับกองทุน SCB Smart Plan 2,3 และ 4 เป็นการรองรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงในระดับ 2 ,3 และ 4 ตามลำดับ” นายสมิทธ์ กล่าว
ทั้งนี้ กองทุน SCB Smart Plan 2 รวมจ่ายเงินปันผลทั้งสิ้นในอัตรา 0.4000 บาทต่อหน่วย โดยได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.3300 บาทต่อหน่วยไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2557 คงเหลือจ่ายปันผลในอัตรา 0.0700 บาทต่อหน่วยสำหรับงวดผลการดำเนินงานดังกล่าวข้างต้น กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในตราสารที่หลากหลาย อาทิ ตราสารหนี้ หุ้น เงินฝาก กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ โดยจะลงทุนในหุ้นไม่เกินร้อยละ 25 และไม่มีการลงทุนในต่างประเทศ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ทั้งนี้มีผลตอบแทนย้อนหลังนับตั้งแต่สิ้นปี 2556 จนถึงวันที่ 12 กันยายน 2557 อยู่ที่ 3.59% และผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน 3 เดือน อยู่ที่ 0.90% 6 เดือน อยู่ที่ 2.34% และ 1 ปี อยู่ที่4.10%
สำหรับกองทุน SCB Smart Plan 3 รวมจ่ายเงินปันผลทั้งสิ้นในอัตรา 0.4003 บาทต่อหน่วย โดยได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.2983 บาทต่อหน่วยไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2557 คงเหลือจ่ายปันผลในอัตรา 0.1020 บาทต่อหน่วยสำหรับงวดผลการดำเนินงานดังกล่าวข้างต้น กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนที่หลากหลาย เช่นเดียวกับ Smart Plan 2 แต่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกินร้อยละ 34 รวมทั้งยังมีการลงทุนใน ต่างประเทศไม่เกินร้อยละ 35 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง ทั้งนี้มีผลตอบแทนย้อนหลังนับตั้งแต่สิ้นปี 2556 จนถึงวันที่ 12 กันยายน 2557 อยู่ที่ 4.91% และผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน 3 เดือน อยู่ที่ 1.93% 6 เดือน อยู่ที่ 3.91% และ 1 ปี อยู่ที่5.46%
ส่วนกองทุน SCB Smart Plan 4 รวมจ่ายเงินปันผลทั้งสิ้นในอัตรา 0.4000 บาทต่อหน่วย โดยได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.3256 บาทต่อหน่วยไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2557 คงเหลือจ่ายปันผลในอัตรา 0.0744 บาทต่อหน่วยลงทุนสำหรับงวดผลการดำเนินงานดังกล่าวข้างต้น โดยกองทุนนี้จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกินร้อยละ 43 รวมทั้งลงทุนในต่างประเทศไม่เกินร้อยละ 36 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงค่อนข้างสูง ทั้งนี้มีผลตอบแทนย้อนหลังนับตั้งแต่สิ้นปี 2556จนถึงวันที่ 12 กันยายน 2557 อยู่ที่ 5.78% และผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน 3 เดือน อยู่ที่ 2.37% 6 เดือน อยู่ที่ 4.92% และ 1 ปี อยู่ที่ 6.01%
นายสมิทธ์ กล่าวว่า การจัดสินทรัพย์การลงทุนให้เหมาะสมมีความสำคัญมากในการสร้างผลตอบแทน ซึ่งหากพิจารณาผลตอบแทนย้อนหลังในแต่ละปีจะพบว่า ไม่มีสินทรัพย์ชนิดใดชนิดหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอเช่นเดิมทุกๆปี เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี ดังนั้นกองทุน SCB Smart Plan จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการกระจายความเสี่ยง เพราะมีสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับทุกสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นการจัดพอร์ตแบบเชิงกลยุทธ์และเป็นหน้าที่ผู้จัดการกองทุนต้องเป็นผู้ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะกับสถานการณ์เศรษฐกิจในแต่ละช่วง โดยจะมีการทบทวนเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง
“คอนเซ็ปต์ของการลงทุนของกองทุน SCB Smart Plan แต่ละกองทุนนั้นจะมีลักษณะการจัดพอร์ตการลงทุน ในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ลูกค้ารับได้ และไม่เกินกรอบความเสี่ยงสูงสุดตามที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ทั้งนี้กรอบความเสี่ยงจะอิงกับแบบประเมินความเสี่ยงที่จัดทำโดยสำนักงาน ก.ล.ต. แบ่งความเสี่ยงออกเป็น 5 ระดับ จากความเสี่ยงต่ำสุดคือระดับ 1 ไปจนถึงความเสี่ยงสูงสุดที่ระดับ 5 สำหรับกองทุน SCB Smart Plan 2,3 และ 4 เป็นการรองรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงในระดับ 2 ,3 และ 4 ตามลำดับ” นายสมิทธ์ กล่าว
ทั้งนี้ กองทุน SCB Smart Plan 2 รวมจ่ายเงินปันผลทั้งสิ้นในอัตรา 0.4000 บาทต่อหน่วย โดยได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.3300 บาทต่อหน่วยไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2557 คงเหลือจ่ายปันผลในอัตรา 0.0700 บาทต่อหน่วยสำหรับงวดผลการดำเนินงานดังกล่าวข้างต้น กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในตราสารที่หลากหลาย อาทิ ตราสารหนี้ หุ้น เงินฝาก กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ โดยจะลงทุนในหุ้นไม่เกินร้อยละ 25 และไม่มีการลงทุนในต่างประเทศ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ทั้งนี้มีผลตอบแทนย้อนหลังนับตั้งแต่สิ้นปี 2556 จนถึงวันที่ 12 กันยายน 2557 อยู่ที่ 3.59% และผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน 3 เดือน อยู่ที่ 0.90% 6 เดือน อยู่ที่ 2.34% และ 1 ปี อยู่ที่4.10%
สำหรับกองทุน SCB Smart Plan 3 รวมจ่ายเงินปันผลทั้งสิ้นในอัตรา 0.4003 บาทต่อหน่วย โดยได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.2983 บาทต่อหน่วยไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2557 คงเหลือจ่ายปันผลในอัตรา 0.1020 บาทต่อหน่วยสำหรับงวดผลการดำเนินงานดังกล่าวข้างต้น กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนที่หลากหลาย เช่นเดียวกับ Smart Plan 2 แต่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกินร้อยละ 34 รวมทั้งยังมีการลงทุนใน ต่างประเทศไม่เกินร้อยละ 35 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง ทั้งนี้มีผลตอบแทนย้อนหลังนับตั้งแต่สิ้นปี 2556 จนถึงวันที่ 12 กันยายน 2557 อยู่ที่ 4.91% และผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน 3 เดือน อยู่ที่ 1.93% 6 เดือน อยู่ที่ 3.91% และ 1 ปี อยู่ที่5.46%
ส่วนกองทุน SCB Smart Plan 4 รวมจ่ายเงินปันผลทั้งสิ้นในอัตรา 0.4000 บาทต่อหน่วย โดยได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.3256 บาทต่อหน่วยไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2557 คงเหลือจ่ายปันผลในอัตรา 0.0744 บาทต่อหน่วยลงทุนสำหรับงวดผลการดำเนินงานดังกล่าวข้างต้น โดยกองทุนนี้จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกินร้อยละ 43 รวมทั้งลงทุนในต่างประเทศไม่เกินร้อยละ 36 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงค่อนข้างสูง ทั้งนี้มีผลตอบแทนย้อนหลังนับตั้งแต่สิ้นปี 2556จนถึงวันที่ 12 กันยายน 2557 อยู่ที่ 5.78% และผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน 3 เดือน อยู่ที่ 2.37% 6 เดือน อยู่ที่ 4.92% และ 1 ปี อยู่ที่ 6.01%
นายสมิทธ์ กล่าวว่า การจัดสินทรัพย์การลงทุนให้เหมาะสมมีความสำคัญมากในการสร้างผลตอบแทน ซึ่งหากพิจารณาผลตอบแทนย้อนหลังในแต่ละปีจะพบว่า ไม่มีสินทรัพย์ชนิดใดชนิดหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอเช่นเดิมทุกๆปี เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี ดังนั้นกองทุน SCB Smart Plan จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการกระจายความเสี่ยง เพราะมีสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับทุกสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นการจัดพอร์ตแบบเชิงกลยุทธ์และเป็นหน้าที่ผู้จัดการกองทุนต้องเป็นผู้ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะกับสถานการณ์เศรษฐกิจในแต่ละช่วง โดยจะมีการทบทวนเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง
