xs
xsm
sm
md
lg

กำไรโบรกฯ ปี 56 โต 15% ภาวะหุ้นดี-เม็ดเงิน ตปท.ไหลเข้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นายกสมาคมโบรกเกอร์ คาดปีหน้าธุรกิจหลักทรัพย์เติบโตต่อเนื่องจากภาพรวมตลาดหุ้นไทยดี-เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้า ดันกำไร บล.ปีหน้าโตอัตรา 10-15% ระดับเดียวกับปี 55 ขณะที่ 9 เดือนอยู่ที่ 6,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.45% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 5,190 ล้านบาท  ซึ่งทั้งปี 2554 บล.มีกำไรสุทธิรวม 6,235  ล้านบาท

    นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย  เปิดเผยว่า ธุรกิจหลักทรัพย์ปี 56 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปี 55  ซึ่งเชื่อว่ากำไรภาพรวม บล.จะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% จากปีนี้ 55  เนื่องจากคาดว่าปัจจัยต่างประเทศเรื่องเศรษฐกิจของสหรัฐฯ-ยุโรป เชื่อว่าจะไม่แย่ไปกว่านี้ และนักลงทุนมีการรับข่าวไปแล้ว ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศนั้นคาดว่าจะมีผลกระทบบ้างเป็นระยะ

 ทั้งนี้ เชื่อว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตที่ดี บริษัทจดทะเบียนมีการเติบโต 18-20% แม้ค่า P/E ตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคนั้นอยู่ระดับใกล้เคียงไม่ได้สูง เชื่อว่าเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าวอลุ่มการซื้อขายปีหน้าน่าจะเติบโตได้ประมาณ 10% จากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาทต่อวัน

     นอกจากนี้ บล.ต่างๆ มีการปรับตัวที่ดีมีการกระจายฐานรายได้มากขึ้น และการแข่งขันเรื่องค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชัน) มีบ้างแต่ถือว่าไม่รุนแรง  ซึ่งโจทย์ใหญ่ปีหน้าของ บล.คือ การขยายฐานนักลงทุนเพิ่มขึ้น และการแนะนำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน  มากกว่าการจัดกิจกรรมทางการตลาด ซึ่งในปีหน้าจะไม่เห็น บล.มีการทำการตลาดที่มีมูลค่าสูงๆเหมือนที่ผ่านมาที่แจกคอนโด แจกรถยนต์  แต่จะเห็นลักษณะจัดโปรโมชันเล็กๆแทน

     “ปีนี้จะเห็นรายได้ค่านายหน้าของ บล.ปรับตัวลดลงนั้นเป็นผลจากการเปิดเสรีค่าคอมมิชชันบ้าง ขณะที่จะเห็นว่า บล.มีกำไรจากพอร์ต บล.เพิ่มขึ้นจากการที่ภาวะตลาดหุ้นไทยปีนี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 30% แต่เชื่อว่าปีหน้านั้นการลงุทนพอร์ตเชื่อว่าจะอยู่ในระดับ 15% ของการซื้อขายรวม คงจะไม่มีการลงทุนที่สูงขึ้น เพราะการลงทุนพอร์ตนั้นมีความเสี่ยง บล.ต้องพยายามเพิ่มรายได้ที่มั่นคง” นางภัทธีรา กล่าว

     จากข้อมูลสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ผลประกอบการของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ในไตรมาส 3/55 จำนวน 45 แห่ง มีรายได้รวม 8,855  ล้านบาท ลดลง 641  ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวม 9,496 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ จำนวน 6,272 ล้านบาท ลดลง  1,226 ล้านบาท จากไตรมาส 3/54 ที่ 7,498  ล้านบาท รายได้นายหน้าซื้อขายสัญญาล่วงหน้า 533 ล้านบาท ลดลง 527  ล้านบาท จากไตรมาส 3/54 ที่มี 1,060 ล้านบาท รายได้ค่าธรรมเนียม และบริการมีการอยู่ที่ 603  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 310 ล้านบาท จากไตรมาส 3/54 ที่มี 293 ล้านบาท

    ทั้งนี้ ไตรมาส 3/55 มีกำไรจากเงินลงทุน จำนวน 543 ล้านบาท  จากที่ไตรมาส 3/54 มีผลขาดทุน 806 ล้านบาท  และมีกำไรจาก 372 ล้านบาท  ลดลงจากไตรมาส 3/54 ที่มีกำไรจากการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ที่ 1,010  ล้านบาท  ขณะที่ บล.มีค่าใช้จ่ายรวมในไตรมาส 3/55 จำนวน 6,286 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/55 ที่มี 6,488  ล้านบาท ดังนั้น ทำให้กำไรสุทธิรวมของ บล.ไตรมาส 3/55 อยู่ที่  2,316  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 478   ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากไตรมาส 3/54 ที่ 1,838  ล้านบาท

     สำหรับ 9 เดือนแรก บริษัทหลักทรัพย์มีกำไรรวมสุทธิ 6,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.45% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 5,190 ล้านบาท  ขณะที่ทั้งปี 2554 บล.มีกำไรสุทธิรวม 6,234  ล้านบาท

    นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS  กล่าวว่า กำไร บล.ปี 2556 มีกำไรเพิ่มขึ้นจากปีนี้ เนื่องจาก บล.มีการกระจายฐานรายได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอนุพันธ์ ทองคำ ที่ปรึกษาทางการเงิน  พอร์ตการลงทุน  ให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ ส่วนการแข่งขันเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชัน) นั้น การแข่งขันไม่รุนแรงเป็นไปในทิศทางที่ดี  

     นอกจากนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตที่ดี และตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีนี้ และมูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่ม) คาดว่าเฉลี่ยจะสูงกว่า 3.1 หมื่นล้านบาท แม้จะมีปัจจัยลบเรื่องเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจยุโรป เชื่อว่าจะมีผลกระทบระยะสั้น และจากเม็ดเงินสภาพคล่องที่มีในระบบสูงนั้นเชื่อว่าจะทำให้นักเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามา

     สำหรับ บล.คันทรี มีกำไรเพิ่มขึ้น จากในช่วง 3 ปีทีผ่านมาบริษัทมีกำไรมาตลอด ซึ่งในปีหน้า บริษัทมีแผนการขยายฐานลูค้ามากขึ้น คาดว่าจะเพิ่ม 20% จากปีนี้ที่มี 6 หมื่นบัญชี ซึ่งบริษัทจะมีงานด้านการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai)และเป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น เพราะหากมีมากจะทำให้มีนักลงทุนเข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายกับบริษัทมากขึ้น จากที่หุ้นไอพีโอนั้นให้ผลอตอบแทนที่สูง รวมถึงขยายฐานนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ มากขึ้น ปีหน้าคาดส่วนแบ่งมาร์เกตแชร์อยู่ที่ 6% จากปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 5.28%

 
กำลังโหลดความคิดเห็น