บมจ.ทาคูนิ กรุ๊ป (TAKUNI) ผู้จัดจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai 19 ส.ค. นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO จำนวน 640 ล้านบาท คาดนักลงทุนให้ความสนใจเปิดเหนือราคาจอง พร้อมรุกธุรกิจก๊าซแอลพีจีแบบครบวงจร
นายประเสริฐ ตรีวีรานุวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ทาคูนิ กรุ๊ป หรือ TAKUNI กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนใน mai จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และสนับสนุนให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งมั่นใจว่านักลงทุนจะให้ความสนใจ เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี และคาดว่าเมื่อเปิดทำการซื้อขายวันแรก จะมีการซื้อขายหุ้นในราคาเหนือจองอย่างแน่นอน ซึ่งการที่บริษัทฯ ได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้น mai ครั้งนี้จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปลงทุนจัดตั้งสถานีบริการก๊าซ LPG ภายใต้เครื่องหมายการค้า “แชมป์เปี้ยน แก๊ส” รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจต่อไปในอนาคต
ขณะที่นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ. ทาคูนิ กรุ๊ป (TAKUNI) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 19 สิงหาคม 2557 นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO ที่ 640 ล้านบาท เป็นบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ลำดับที่ 7 ใน mai ปีนี้ โดย TAKUNI และบริษัทย่อยดำเนินธุรกิจจัดหา จัดส่ง และจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquid Petroleum Gas: LPG) และให้บริการติดตั้งระบบก๊าซในรถยนต์และระบบท่อก๊าซอุตสาหกรรม รวมถึงงานบริการทดสอบและตรวจสอบด้านความปลอดภัยทางวิศวกรรมระบบก๊าซ
อย่างไรก็ตาม TAKUNI มีทุนชำระแล้ว 200 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 300 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 100 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในราคาหุ้นละ 1.60 บาท เมื่อวันที่ 6 - 8 สิงหาคม 2557 คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 160 ล้านบาท โดยมีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
ทั้งนี้ TAKUNI มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มครอบครัวนายประเสริฐ ตรีวีรานุวัฒน์ ถือหุ้น 60.00% นายวิเชียร ริมพณิชยกิจ ถือหุ้น 4.50% และนางปราณี ตรีวีรานุวัฒน์ ถือหุ้น 3.50% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นครั้งนี้คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) เท่ากับ 25.54 เท่า โดยคำนวณจากผลประกอบการ 4 ไตรมาสย้อนหลัง (1 เมษายน 2556 - 31 มีนาคม 2557) หารด้วยจำนวนหุ้นภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.063 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะของบริษัทหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล เงินสำรองตามกฎหมาย และเงินสำรองต่างๆ ทั้งหมด