ผู้บริหาร บลจ.แนะนักลงทุนเก็บกองทุนอีทีเอฟเข้าพอร์ตช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ชูจุดเด่นผลตอบแทนล้อไปกับดัชนี พร้อมแนะนักลงทุนตั้งเป้าหมายการลงทุนและประเมินความเสี่ยงก่อนลงทุน ช่วยกระจายความเสี่ยงให้ผลตอบแทนตามเป้า
นายตรีพล ภูมิวสนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การจัดพอร์ตการลงทุนขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่รับได้ เราควรจะเน้นการกระจายความเสี่ยงของสินทรัพย์ เช่นหุ้นกับตราสารหนี้ ผลตอบแทนมักจะไปคนละด้าน การจับทั้งสองอย่างมาลงทุนในพอร์ตเดียวก็จะเป็นเครื่องมือช่วยในการกระจายความเสี่ยง
ทั้งนี้ นักลงทุนไทยส่วนใหญ่มักจะคิดว่าการลงทุนในต่างประเทศนั้นค่อนข้างยุ่งยากและยังมีความเข้าใจน้อย แต่การปรับสัดส่วนการลงทุนระหว่างไทยไปยังตลาดต่างประเทศ ด้วยเครื่องมือการลงทุนอย่างกองทุนอีทีเอฟจะเป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่งที่ช่วยให้นักลงทุนไปลงทุนต่างประเทศได้ง่ายขึ้น โดยเร็วๆ นี้ บลจ.เมย์แบงก์จะมีการเปิดขายกองทุนอีทีเอฟที่อ้างอิงดัชนียุโรป สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และกลุ่มตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งหมด 4 กองทุนซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน
สำหรับการเลือกลงทุนในหุ้นนั้นมีผลต่อผลตอบแทนพอสมควร หากเทียบระหว่างเงินฝากที่ให้ผลตอบแทน หรือดอกเบี้ยอยู่ที่ 2% เมื่อเทียบกับหุ้นที่สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 7-15% โดยนักลงทุนควรจะตั้งเป้าหมายการลงทุนเสียก่อน และที่สำคัญคือนักลงทุนต้องเข้าใจตัวเองว่ารับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหนด้วยเช่นกัน
"ในปี 2558 นั้นนอกเหนือจากเฟดแล้วสิ่งที่เรากังวลต่อนั้นก็คือยุโรปจะเป็นอย่างไร ส่วนญี่ปุ่นสิ่งที่ต้องดูคือการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มอีกครั้งในปลายปีหน้า การอัดเงินเข้าระบบของธนาคารกลางญี่ปุ่นจะเป็นอย่างไรก็ต้องติดตามดูด้วยเช่นกัน ขณะที่ตลาดเกิดใหม่เองก็ต้องจับตาดูเม็ดเงินที่ไหลกลับหากเฟดมีการขึ้นดอกเบี้ย"
ทางด้านนายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ จำกัด กล่าวว่า การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย หรือ DCA นั้นถือเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงให้กับนักลงทุน สำหรับลักษณะของอีทีเอฟเป็นกองทุนมักจะเน้นการลงทุนในดัชนีและให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี โดยกองทุนอีทีเอฟจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องได้ นโยบายการลงทุนชัดเจน ซื้อขายได้ตลอดวันทำการได้ในตลาดหลักทรัพย์
"ปัจจุบันกองทุนอีทีเอฟมีอยู่ประมาณ 30 กองทุน โดยการเลือกลงทุนนั้นนักลงทุนควรจะดูนโยบายและสินทรัพย์ที่กองทุนลงทุน เลือกดัชนีอ้างอิงถึงให้ดี และต้องเป็นดัชนีสะท้อนถึงวัตถุประสงค์ที่เราต้องการลงทุน และที่สำคัญควรจะดู Tracking error (TE) ว่าถ้าเข้าใกล้ศูนย์ถือว่าดี เพราะใกล้เคียงกับดัชนีที่สุด"
นายวิน กล่าวว่า ปี 2558 สิ่งที่ต้องจับตามองนั้นก็คือการทำงานของเฟด หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีเม็ดเงินอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบว่าจะมีการลดทอน QE อย่างไร ตลาดทุนจะเป็นอย่างไร โดยในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนมีความกังวลพอสมควรหลังจากที่เฟดจะลด QE ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกหวั่นไหวพอสมควร ซึ่งต้องติดตามว่าในปีหน้าจะเป็นอย่างไร
นายยืนยง เทพจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการลงทุน-งานลงทุนในตราสารทุน บลจ.กรุงไทย จำกัด กล่าวว่า เป้าหมายของนักลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะการเกษียณ เราควรจะดูว่าเราต้องการผลตอบแทนที่เท่าไรรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน อาจจะต้องมีการปรับพอร์ตระหว่างทางบ้างเพื่อให้เข้ากับสภาวะการลงทุน ส่วนใหญ่นักลงทุนมักจะกังวลหากลงทุนในหุ้น แต่การลงทุนในหุ้นนั้นมักจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว