คอลัมน์ รู้ทันการลงทุนกับ KAsset"
โดยพิมเพ็ญ อิศรางกูร ณ อยุธยา
ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด
หากพูดถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับใหญ่ของจีนที่ได้ถูกประกาศออกมาในเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา หนึ่งในหัวใจสำคัญคงหนีไม่พ้นการปฏิรูปเงินหยวนให้มีความเป็นสากลมากขึ้น โดยการผลักดันบทบาทของเงินหยวนให้เป็นสกุลเงินที่ใช้ระหว่างประเทศและลดบทบาทการใช้สกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรัฐบาลจีนได้เริ่มจากการเปิดเสรีในบัญชีเดินสะพัด* ผ่านการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน (Quote) โดยตรงกับสกุลเงิน ต่างๆ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ สเตอร์ลิงปอนด์ของอังกฤษ เยนของญี่ปุ่น รวมถึงสกุลบาทของไทยด้วย
แผนการต่อมาของรัฐบาลจีนที่เราได้ยินข่าวมาอย่างต่อเนื่องและคาดว่าจะดำเนินการภายในเดือนตุลาคมนี้ ก็คือการเปิดให้เงินหยวนมีการแลกเปลี่ยนอย่างเสรีผ่านบัญชีทุน ผ่านโครงการ Shanghai - Hong Kong Stock Connect (หรือ Through Train) โดยนักลงทุนชาวจีนจะสามารถซื้อหุ้นในตลาดฮ่องกงได้โดยตรง และนักลงทุนฮ่องกงก็สามารถซื้อหุ้นบนกระดานจีนได้โดยตรงเช่นกัน นับเป็นการเปิดตลาดทุนครั้งสำคัญของจีนในประวัติศาสตร์ และโครงการนี้เองจะเป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้เงินหยวนมีบทบาทมากขึ้นในตลาดทุน ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปในปี 2550 โครงการนี้เคยเป็นหนึ่งในแผนปฏิรูปตลาดทุนที่ทางรัฐบาลจีนจะนำมาใช้ โดยทั้งตลาดจีนและฮ่องกงต่างพุ่งขึ้นหลังจากที่มีการประกาศโครงการนี้ในเดือนสิงหาคม ปี 2550 ดัชนี H-share (หุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง) ปรับตัวขึ้นเกือบ 60% ภายใน 3 เดือน ขณะที่หุ้น A-share (หุ้นจีนที่จดทะเบียนในเสิ่นเจิ้นและเซี่ยงไฮ้) ปรับขึ้นประมาณ 25% แต่หลังจากนั้นในปี 2553 ทางการจีนก็ประกาศระงับโครงการดังกล่าวโดยปล่อยให้โครงการหมดอายุลงตามกำหนด เนื่องจากข้อจำกัดระหว่าง 2 ตลาดที่ยังมีอยู่ค่อนข้างมาก
เป็นที่รู้กันอยู่ว่าหุ้นจีน หรือที่เรารู้จักกันว่าหุ้น A-share ไม่สามารถซื้อขายกันได้คล่องมืออย่างตลาดหุ้นอื่นๆ โดยมีเฉพาะนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ที่ได้รับอนุญาตโควตาจากรัฐบาลจีนและสามารถลงทุนได้ในวงเงินที่รัฐบาลกำหนด ส่วนวงเงินของนักลงทุนรายย่อยนั้นค่อนข้างน้อยเพียง 50,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 1.6 ล้านบาท) สำหรับในแผนการครั้งนี้ วงเงินทั้งหมดที่สามารถซื้อขายข้ามตลาดกันได้นั้น ทางธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศออกมาในเบื้องต้นเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาอยู่ที่ 5.5 แสนล้านหยวน โดยแบ่งเป็น
1) Northbound คือ วงเงินที่นักลงทุนฮ่องกงและต่างชาติสามารถซื้อขายหุ้นบนกระดานจีน 3 แสนล้านหยวน หรือ 1.3 หมื่นล้านหยวนต่อวัน
2) Southbound คือวงเงินที่นักลงทุนจีนสามารถซื้อขายหุ้นบนกระดานฮ่องกง 2.5 แสนล้านหยวน หรือ 1.05 หมื่นล้านหยวนต่อวัน
หากพูดถึงอานิสงส์ของโครงการนี้ ประการแรกคงหนีไม่พ้นการที่ตลาดหุ้นจีนจะกลายเป็นจุดสนใจของนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากเงินหยวนจะเป็นสกุลเงินที่มีความเป็นสากลมากขึ้น ซึ่งนักลงทุนต่างชาติและฮ่องกงสามารถใช้สกุลหยวนเท่านั้นในการซื้อขายหุ้นบนกระดานจีน (Northbound) นอกจากนี้ หากรวมมูลค่าตลาดหุ้น A-share และ H-share เข้าด้วยกัน จะทำให้มีขนาดใหญ่ถึงอันดับสองของโลกรองจากตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา (NYSE) และใกล้เคียงตลาดหุ้น Nasdaq ด้วยมูลค่ากว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งก็จะเป็นอีกจุดที่จะทำให้นักลงทุนทั่วโลกหันมาให้ความสนใจหุ้นจีน อีกประการหนึ่งก็คือ โครงการนี้นับเป็นการเปิดตลาดทุนจีนก้าวแรก โดยหากในที่สุดรัฐบาลจีนผ่อนคลายกฎเกณฑ์และยกเลิกโควตาการลงทุน ก็จะเป็นประตูให้บริษัทใหญ่ๆ ของจีนถูกเข้ามารวมเป็นส่วนหนึ่งในการคำนวณดัชนีที่สำคัญๆ อาทิ ดัชนีหุ้นโลกรวมประเทศเกิดใหม่ (MSCI All Country World Index) ประการสุดท้าย นักลงทุนจะมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น และสามารถใช้ตลาดหุ้นเป็นตัวกลางนำเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศ รวมถึงโครงการลงทุนต่างๆ ที่เอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย
อย่างไรก็ดี หากมาดูวงเงินที่สามารถซื้อขายข้ามตลาดที่ 5.5 แสนล้านหยวน หรือประมาณ 9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนเพียงไม่ถึง 2% ของมูลค่าตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกงรวมกัน ซึ่งดูเหมือนตลาดต่างมองตรงกันว่าวงเงินที่ออกมาในเบื้องต้นนี้มีขนาดเล็กไปหรือไม่ นอกจากนี้ ประเด็นที่เรายังคงต้องจับตามองต่อไปก็คือความสามารถในการจัดการกับระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ของทั้ง 2 ตลาดที่มีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของกฎเกณฑ์และข้อปฏิบัติ รวมถึงการควบคุมไม่ให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่าง 2 ตลาด ซึ่งถ้าหากเป็นไปตามแผนที่ธนาคารกลางจีนวางไว้ว่าเป้าหมายการเปิดตลาดทุนระดับขั้นต้นจะแล้วเสร็จภายในปี 2558 และระดับสมบูรณ์ภายในปี 2563 ให้สอดคล้องกับการเชื่อมโยงตลาดทุนที่อาเซียนตกลงกันไว้ เราอาจจะเห็นตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงกลับมาปรับตัวแรงขึ้นอีกครั้ง และหนุนบรรยากาศการลงทุนในภูมิภาคโดยรวมได้
สำหรับมุมมองต่อหุ้นจีนของ บลจ.กสิกรไทยในระยะยาว 3-5 ปี ยังคงเป็นบวก เนื่องจากเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะยังได้รับผลดีจากการปฏิรูปและเชื่อว่ารัฐบาลจีนจะยังให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเป็นระยะ ประกอบกับราคาหุ้นที่ยังอยู่ในระดับน่าสนใจและสามารถดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติได้อยู่ อย่างไรก็ดี ในระยะสั้นปัจจัยเสี่ยงยังมีจากตัวเลขเศรษฐกิจที่มีทั้งบวกและลบ อีกทั้งปัญหาการประท้วงในฮ่องกงที่อาจยืดเยื้อ นอกจากนี้ หากแผนการเชื่อมโยงตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงที่ทุกคนจับตามองไม่เป็นไปตามที่คาด อาจกดดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงได้ นักลงทุนระยะสั้นจึงต้องระมัดระวังและคอยติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด
*ดุลการชำระเงิน = ดุลบัญชีเดินสะพัด + ดุลบัญชีทุน