xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.เมย์แบงก์เพิ่มทุน 60 ล้านขยายธุรกิจ เน้นรายย่อยตั้งเป้า AUM 2 หมื่นล้านใน 5 ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เมย์แบงก์ มาเลย์ มองอุตสาหกรรมกองทุนไทยยังโต เพิ่มทุน บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) 60 ล้านบาท ขยายธุรกิจและฐานลูกค้า ตั้งเป้า AUM แตะ 2 หมื่นล้านใน 5 ปี เตรียมออกกอง ETF 4 กอง ลุยต่างประเทศ มองตลาดเกิดใหม่ราคายังถูก เงินเริ่มไหลเข้า

นายนอร์ อัสซามีน บิน ซาเลห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บลจ.เมย์แบงก์ เปิดเผยว่า กลุ่ม บลจ.เมย์แบงก์ในมาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 60 ล้านบาทให้ บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ซึ่งจะส่งผลให้ทุนจดทะเบียนของ บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เพิ่มเป็น 270 ล้านบาท เพื่อนำไปขยายธุรกิจกองทุนในประเทศไทย โดยตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปี เนื่องจากมองว่าธุรกิจกองทุนรวมในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก จากเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ยังมีอัตราการเติบโตอยู่ ขณะที่นักลงทุนยังหาโอกาสทางเลือกการลงทุนใหม่ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนในระดับที่พึงพอใจ ทำให้ตลาดกองทุนรวมในประเทศไทยยังมีทิศทางที่สดใส โดย บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) มองโอกาสการลงทุนในตราสารหนี้ หรือตราสารการเงินในต่างประเทศ เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุน ในการสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมและกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสของผลตอบแทนที่มั่นคงกว่าให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน

สำหรับมุมมองต่อการลงทุนในประเทศไทย นายนอร์ อัสซามีน บิน ซาเลห์ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาค อีกทั้งยังมีการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดี ทำให้เมย์แบงก์เห็นโอกาสในการเข้ามาลงทุนในธุรกิจการเงินที่เมย์แบงก์มีความชำนาญ และเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

ด้าน ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนนำเงินเพิ่มทุนครั้งนี้ไปใช้ในการขยายกิจการ ขยายฐานลูกค้า เสริมศักยภาพในการบริหารจัดการ และนำเงินลงทุนบางส่วนไปพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้อำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าของบริษัท โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของลูกค้าเป็นสำคัญ พร้อมกับตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2558 จะออกกองทุนใหม่อีกประมาณ 19-20 กองทุน และในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแผนจะเสนอขายกองทุนจำนวน 6 กองทุน แบ่งเป็น กองทุนตลาดเงิน 1 กอง กองทุนหุ้น 1 กอง และกองทุนอีทีเอฟ (ETF) 4 กอง ซึ่งกองทุนอีทีเอฟของบริษัทจะมีจุดเด่น คือ เปิดโอกาสให้นักลงทุนกระจายการลงทุนในต่างประเทศผ่าน 4 ตลาดสำคัญๆ ได้แก่ ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐฯ เบื้องต้นคาดว่าจะเสนอขายกองทุนอีทีเอฟ ทั้ง 4 กองประมาณปลายเดือนพฤศจิกายนปีนี้

ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนจะขยายฐานลูกค้ารายย่อยเพิ่มเติมผ่านทางผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (Selling Agent) ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 7 แห่ง โดยตั้งเป้าจะเพิ่มผู้สนับสนุนการขายฯ อีกประมาณ 7-8 แห่ง รวมทั้งออกผลิตภัณฑ์กองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารอยู่ในระดับสูง ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ารายย่อย

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในต่างประเทศมองว่า ตลาดเกิดใหม่ยังเป็นตลาดที่น่าสนใจลงทุน ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหุ้นในตลาดเกิดใหม่ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดพัฒนาแล้ว เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือยุโรป ดังนั้นปีนี้จึงเห็นเงินทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่เป็นจำนวนมาก โดยล่าสุดมีเงินทุนไหลเข้าในเดือนที่ผ่านมากว่า 7.4 หมื่นล้านบาท โดยมองว่าประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ ไต้หวัน และเกาหลีใต้ เพราะถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวจริง ทั้งสองประเทศนี้น่าจะได้รับประโยชน์

ส่วนแนวโน้มมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) ที่จะสิ้นสุดในเดือนตุลาคมนี้ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในระบบ โดยเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังไม่เริ่มถอนเงินออกจากระบบ ส่วนแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นคาดว่าจะเห็นความชัดเจนกลางปี 2558 โดยแนะนำให้ติดตามตัวเลขการปล่อยสินเชื่อรายย่อยของสหรัฐฯ หากเริ่มมีสัญญาณบวกติดต่อกัน 2-3 เดือนก็เชื่อว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแน่นอน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากแล้ว โดยทิศทางของตลาดขึ้นอยู่กับการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเป็นไปตามแผนงานหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ดัชนีฯ อาจปรับฐานได้
กำลังโหลดความคิดเห็น