ONE-EURO ทำผลงานตามเป้า ซื้อคืนหน่วยลงทุนครั้งแรก 0.30 บาทต่อหน่วย มองตลาดหุ้นยุโรปยังสดใส การบริโภคเริ่มฟื้น และวิกฤตยูเครนผ่อนคลาย
นายมณฑล จุนชยะ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนเปิด วรรณ ยูโรเปี้ยน ฟันด์ 12 (ONE-EURO) สามารถรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยให้ผู้ถือหน่วยลงทุนที่ 0.30 บาทต่อหน่วยลงทุน หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน 3% โดยมีมูลค่าหน่วยลงทุน ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2557 เท่ากับ 10.3057 บาทต่อหน่วย และจะโอนเงินให้ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 18 มิ.ย. 57 กองทุนเปิด วรรณ ยูโรเปี้ยน ฟันด์ 12 (ONE-EURO) เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของกลุ่มประเทศยุโรป มีเป้าหมายการลงทุน 12% โดยจะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเมื่อกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนผ่านระดับ 10.30 บาท 10.60 บาท 10.90 บาท และจะเลิกกองทุนเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 11.25 บาท
ทั้งนี้ คาดว่าตลาดหุ้นยุโรปยังคงไปต่อได้เนื่องจากเศรษฐกิจในแถบยูโรโซนทยอยปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยเห็นได้จากตัวเลขจีดีพีไตรมาสที่ 1/2557 ของหลายประเทศ เช่น อังกฤษและสเปนที่ยังคงฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศในกลุ่มที่เคยประสบปัญหาทางการเงินในปี 2008 อย่างเช่น อิตาลี ฝรั่งเศส และสเปน ก็สะท้อนการฟื้นตัวที่ดีขึ้นจากช่วงที่ผ่านมาจากตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้มองว่าโมเมนตัมการฟื้นตัวของกลุ่มยูโรโซนน่าจะมีความชัดเจนและมีเสถียรภาพมากขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจในยูโรโซนตอนนี้อาจต้องเผชิญกับแรงกดดัน
“จากภาวะเงินฝืดและค่าเงินยูโรที่แข็งค่าบ้าง แต่ด้วยการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง -0.10% และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงเหลือ 0.15% จาก 0.25% ในการประชุม ECB ครั้งที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องก็คาดว่าจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจของยูโรโซนสามารถทยอยผ่านพ้นแรงกดดันดังกล่าวไปได้ และส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนเริ่มกลับคืนมา รวมทั้งส่งผลให้รายได้ของบริษัทต่างๆ เติบโตได้มากขึ้น ตามลำดับ รวมทั้งปัญหาความขัดแย้งของยูเครนกับรัสเซียเริ่มผ่อนคลายลงจากช่วงก่อนหน้า ทำให้นักลงทุนก็น่าจะคลายความกังวลลง” นายมณฑลกล่าว
นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะผลักดันให้ตลาดหุ้นยุโรปคึกคักและมีความน่าสนใจมากขึ้น ได้แก่ การเริ่มกลับเข้ามาดำเนินธุรกรรมผ่าน M&A หรือที่เรียกว่าการเข้าซื้อและควบรวมกิจการของบริษัทต่างๆ ในยุโรปทั้งบริษัทขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก หลังจากที่บริษัทต่างๆ เริ่มมีสภาพคล่องการดำเนินงานเติบโตค่อนข้างมากจากรายได้ของบริษัทที่เพิ่มขึ้นหลังเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว เพื่อหาช่องทางการปรับตัวในการดำเนินธุรกิจ เช่น การลดต้นทุนการผลิต การขยายกิจการ การเข้าถึงตลาดได้โดยไม่ต้องลงทุนใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น ฯลฯ หลังจากที่ราคาหุ้นในยุโรปได้ปรับตัวลดลงค่อนข้างมากจากการเผชิญกับวิกฤตการเงินในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วหากบริษัทต่างๆ ควบรวมกันเรียบร้อยแล้ว ราคาหุ้นบริษัทที่ควบรวมมักจะมีราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้มูลค่าหุ้นมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ sentiment ของตลาดหุ้นและการลงทุนในยุโรปเติบโตด้วยเช่นกัน โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันบริษัทต่างๆ ในยุโรปมีการทำดีล M&A ที่สำเร็จแล้วและอยู่ในระหว่างการดำเนินงานประมาณ 2,266 ดีล ขณะที่ปีที่แล้วมีจำนวนดีลทั้งสิ้นประมาณ 6,900 ดีล เพิ่มขึ้นจากในปี 2009 ซึ่งเป็นช่วงที่ยุโรปประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจทำให้จำนวนดีลปรับลดลงมาเหลือแค่ 5,700 ดีลเท่านั้น