บลจ.แมนูไลฟ์ประเมินหุ้นไทยยังมีโอกาสเติบโตได้ต่อ โดยเฉพาะปี 2558 หลังได้ปัจจัยบวกหนุนทั้งเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงสภาพคล่องในระบบยังมีสูง พร้อมมองเป้าดัชนีไว้ที่ 1,700 จุด แนะนักลงทุนทยอยลงทุน
นายต่อ อินทวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยปีนี้คาดว่าแตะที่ระดับ 1,600 จุด และช่วงเดือนที่เหลือไร้ปัจจัยลบและปัจจัยบวกภายในประเทศมีความชัดเจนต่อเนื่อง ประกอบกับแนวโน้มการออกกองทุนประเภททริกเกอร์ของ บลจ. และเม็ดเงินลงทุนของกองทุนหุ้นระยะยาว หรือ LTF ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ รวมถึงการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ โอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยปีนี้แตะเกินเป้าหมายเดิมที่ 1,600 จุดแตะที่ระดับ 1,650 จุดได้ไม่ยาก และหากเป็นเช่นนั้นจริงดัชนีหุ้นไทยช่วงปี 2558 เป้าหมายดัชนีจาก 1,650 จุดจะเปลี่ยนไปเป็น 1,700 จุดทันที
สำหรับแนวโน้มเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้าตลาดหุ้นไทยช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้นั้น ยังคงมีต่อเนื่อง ทั้งนี้จะเห็นได้จากช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวไหลเข้าตลาดทุนไทยต่อเนื่อง แม้ว่ามูลค่าเงินลงทุนจะไม่สูงมากก็ตาม แต่เชื่อว่านักลงทุนกลับมาให้ความสนใจตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับสภาพคล่องในระบบมีอยู่สูง หากอัตราเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าอยู่เช่นนี้ อัตราดอกเบี้ยของตลาดยูโรยังคงอยู่ในระดับต่ำ เม็ดเงินที่อยู่ในตลาดฟิกอินคัมก็อาจไหลออกมาลงทุนในตลาดทุนประเทศอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า
อย่างไรก็ตาม โอกาสที่เม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะไหลเข้าตลาดทุนไทยอย่างเป็นรูปธรรมน่าจะเกิดขึ้นในช่วงปี 2558 เป็นต้นไป สำหรับปัจจัยบวกที่ช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวเข้ามาทั้งในปีนี้และช่วงปีหน้า ประกอบด้วย การบริโภคภายในประเทศ ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจปรับตัวดีขึ้น การท่องเที่ยวที่กลับมาดีขึ้น การยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนและไต้หวัน รวมถึงการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงปลายปี การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้า เงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ จากนโยบายดอกเบี้ยต่ำของประเทศต่างทั่วโลก และราคาหุ้นไทยยังไม่แพงนักหากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในกลุ่ม
นายต่อกล่าวอีกว่า หุ้นกลุ่มธนาคาร และหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างยังเป็นหุ้นเนื้อหอมที่จะช่วยดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีปัจจัยบวกจากภายในประเทศช่วยสนับสนุนยาวไปถึง 12 เดือนข้างหน้านับจากนี้
โดยนักลงทุนไทยควรหาจังหวะทยอยลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มพลังงานบางตัว เพราะหุ้นกลุ่มดังกล่าวนอกจากได้รับปัจจัยบวกจากภายในประเทศแล้วยังได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าในหุ้นกลุ่มดังกล่าวด้วย ประกอบกับการลงทุนในระยะยาวในหุ้นกลุ่มเหล่านี้โอกาสได้รับผลตอบแทนในระดับสูงมีค่อนข้างสูง
สำหรับภาพรวมธุรกิจของบริษัทนั้น นายต่อกล่าวว่า ปัจจุบันมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการ หรือ AUM อยู่ที่ 9,500 ล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 7,300 ล้านบาท ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลอีกประมาณ 2,200 ล้านบาท โดยปีนี้เราตั้งเป้าเติบโตประมาณ 4,800 ล้านบาท แต่ปัจจุบันมียอดเงินลงทุนเข้ามากว่า 5,600 ล้านบาท ซึ่งสิ้นปีนี้เราคาดว่าจะปิดยอดได้ที่ 6,500 ล้านบาท
“ปัจจุบัน บลจ.ได้แก้ไขข้อบังคับในการซื้อหน่วยลงทุนครั้งแรกจากเดิม 50,000 บาท เป็น 10,000 บาท ส่วนครั้งต่อไปก็ไม่ได้จำกัดจำนวนเงินในการซื้อเพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าอีกด้วย”