xs
xsm
sm
md
lg

Talk Tisco : CAN SLIM………แนวคิดการลงทุนอย่างเป็นระบบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คอลัมน์คุยกับผู้จัดการกองทุน
ทีมจัดการการลงทุน
บลจ.ทิสโก้ จำกัด

หากท่านกำลังเริ่มสนใจการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ปัจจัยในลำดับต้นๆ ที่นักลงทุนทุกคนควรให้ความสำคัญ คือ การมีวินัยในการลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแบ่งการสร้างนิสัยที่ดีสำหรับการลงทุนออกเป็น 3 ช่วงเวลา ได้แก่ ช่วงก่อนการลงทุน (รู้จักตัวเอง รู้จักเครื่องมือ เข้าใจวิธีและมีแผนที่ชัดเจน), ช่วงการลงทุน (เข้าใจเรื่องผลตอบแทนและความเสี่ยง, เข้าใจการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน) และช่วงหลังการลงทุน (ติดตามข้อมูลข่าวสารและผลการดำเนินงานของบริษัทที่ลงทุนไว้ ตลอดจนสภาวะเศรษฐกิจอย่างสม่ำเสมอ)

ทางทีมผู้เขียนจะขอขยายความในส่วนของแบบแผนการลงทุน “ช่วงก่อนการลงทุน” นั่นคือ ภายหลังจากที่เรามีแผนการลงทุนที่เหมาะสมและชัดเจนแล้ว การปฏิบัติตามแผนที่วางไว้อย่างมีวินัยก็เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะไม่หวั่นไหวไปตามความผันผวน ตามกระแสหรือข่าวลือที่จะมาสร้างความวิตกกังวลในระยะสั้น และสามารถนำไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่กำหนดไว้ได้อย่างมั่นคง

ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีหนังสือเกี่ยวกับแนวคิดการลงทุนวางขายตามร้านหนังสือทั่วไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งแนวคิดแต่ละแบบอาจจะได้ผลกับสถานการณ์ตลาดหรือสไตล์ของนักลงทุนที่ต่างกัน โดยในช่วงเริ่มต้นของการลงทุน ผู้อ่านอาจเลือกแนวคิดของนักลงทุนที่มีชื่อเสียงมาเป็นจุดเริ่มต้นของแบบแผนการลงทุนของตนเอง และค่อยๆ ปรับแต่งให้เข้ากับสไตล์การลงทุนของตนเองในภายหลัง

ในวันนี้ ทางทีมผู้เขียนจะขอยก “ตัวอย่าง” กลยุทธ์ในการคัดเลือกหุ้นที่เน้นการค้นหาหุ้นที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูง โดยใช้การวิเคราะห์ทางด้านปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาประกอบกัน นั่นก็คือ “CAN SLIM” โดยแนวคิดนี้เป็นผลงานของ William J. O’Neil ที่ตีพิมพ์ในหนังสือ “How to Make Money in Stocks: A Winning System in Good Times or Bad” ซึ่งเป็นที่นิยม และถูกยกให้เป็นระบบการลงทุนที่ทำผลตอบแทนได้ดีที่สุดในช่วงปี 1998-2009 โดยสมาคมนักลงทุนรายย่อยแห่งสหรัฐอเมริกา (American Association of Individual Investors)

กลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นดังกล่าว สามารถสรุปได้เป็น 7 หลักการคร่าวๆ ดังต่อไปนี้
    
Current Earnings : ให้เลือกหุ้นที่มีอัตรากำไรล่าสุด 3 ไตรมาสไม่น้อยกว่า 18-20% โดยให้เหตุผลว่า หุ้นที่เป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงมักจะสะท้อนด้วยผลประกอบการที่แข็งแกร่งล่าสุดอย่างต่อเนื่อง

Annual Earnings: หากดูอัตราเติบโตของกำไรรายปี ให้เลือกหุ้นที่มีอัตรากำไรในรอบ 5 ปีล่าสุดไม่น้อยกว่า 25%

Newer Companies, New Products, New High: ให้เลือกบริษัทที่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เช่น สินค้าใหม่ๆ, กลยุทธ์ใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตของกำไรในอนาคต และในท้ายที่สุดก็จะสะท้อนไปในราคาหุ้นที่สูงขึ้น จนเกิดราคา New High

Supply and Demand: ในที่นี้หมายถึงจำนวนหุ้นที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาด ซึ่ง O’Neil กล่าวว่า หุ้นที่สามารถปรับตัวขึ้นได้เร็วควรจะมีจำนวนหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดที่ไม่เยอะจนเกินไป โดยนักลงทุนอาจดูจาก %free float ของหุ้นนั้นๆ, การถือครองหุ้นโดยผู้บริหารบริษัท หรือการซื้อคืนหุ้นในกระดานของบริษัท (Treasury Stocks) เป็นต้น
    
Leader or Laggard: ให้เลือกหุ้นที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมใดๆ เนื่องจากมีความได้เปรียบในเชิงการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะนำไปสู่อัตราการขยายตัวของกำไรที่สม่ำเสมอและสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
    
Institutional Sponsorship: O’Neil กล่าวว่า สัดส่วนการถือครองหุ้นใดๆ โดยนักลงทุนสถาบันที่มีชื่อเสียงและมีผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง สัก 3-10 ราย น่าจะเป็นตัวบ่งชี้ในการเลือกหุ้นที่ดี แสดงถึงความเชื่อมั่นในบริษัทและการลงทุนในช่วงเวลาที่ยาวระดับหนึ่ง

Market Direction: สำหรับหุ้นที่ผ่านการพิจารณาปัจจัยข้างต้นมาแล้ว ให้เลือกเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น (Bull Market) เท่านั้น โดยการจำแนกว่าตลาด ณ ปัจจุบันเป็นขาขึ้นหรือขาลง อาจจะต้องดูปัจจัยทางเทคนิคประกอบ เช่น ปริมาณการซื้อขายของตลาดโดยรวม, เส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average) เป็นต้น
    
ดังที่กล่าวไว้ในข้างต้นว่า กลยุทธ์ “CAN SLIM” เป็นเพียง “ตัวอย่าง” ของหลายๆ แนวคิดการลงทุนอย่างเป็นระบบเท่านั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์นักลงทุนแต่ละคนด้วย และเหนือสิ่งใด นักลงทุนก็ควรพึงตระหนักอยู่เสมอว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน” ขอให้โชคดีในการลงทุน


กำลังโหลดความคิดเห็น