บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ประเมินหุ้นไทยสดใส รับโอกาสเศรษฐกิจฟื้นตัวจากนโยบายภาครัฐที่เร่งฟื้นฟูและสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโต ล่าสุดส่งกองทุนซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล 3+3 เปอร์เซ็นต์ ทริกเกอร์ เปิดขายไอพีโอแล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 22 สิงหาคม 2557
นายอุดมการ อุดมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังมีทิศทางในเชิงบวกต่อเนื่อง หลังจากมีความชัดเจนทางการเมืองมากขึ้น การประกาศนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะมาตรการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศผ่านโครงการเมกะโปรเจกต์ที่ดำเนินการต่อเนื่องอย่างรัดกุม การปรับเพิ่มขึ้นเงินเดือนข้าราชการ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับประชาชนที่มีรายได้น้อย นับเป็นมาตรการเพื่อการกระตุ้นภาคการบริโภค ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นของนักธุรกิจต่างชาติที่ยังมองไทยเป็นฐานการผลิตในช่วงที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว เราคาดว่าปัจจัยสนับสนุนต่างๆ เหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในปี 2558 ที่คาดการณ์จะโตในระดับ 4-5% ซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
“ด้วยแรงสนับสนุนจากเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติที่ไหลกลับเข้ามาลงทุน จากการมีการขายทำกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงไปในช่วงเดือนที่ผ่านมา ทำให้เงินทุนเหล่านี้ไหลกลับเข้าลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง รวมถึงตลาดคลายความกังวลต่อการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่คาดว่ายังไม่มีการปรับขึ้นภายในปีนี้ รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนตลาดหุ้นในเอเชียต่างก็มีการประกาศตัวเลขออกมาดีกว่าคาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวดีขึ้น”
นายอุดมการ กล่าวต่อว่า บลจ.จึงเปิดขายกองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล 3+3 เปอร์เซ็นต์ ทริกเกอร์ (CIMB-Principal 3 Plus 3 Percent Trigger Fund) ซึ่งจะเริ่มเปิดขายหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 18-22 สิงหาคม 2557 โดยเราคาดว่ากองทุนดังกล่าวจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึงเป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม ด้วยการบริหารการลงทุนแบบ Active Management และกลยุทธ์ Stock Selection ที่จะเน้นการคัดเลือกหุ้น โดยผู้จัดการกองทุนจะให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการดี มีแนวโน้มการเติบโตในอัตราสูง และเน้นการใช้เทคนิคเรื่องการเข้า-ออกตลาดในจังหวะที่เหมาะสม (Market Timing) เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนตามเป้าหมาย และจุดเด่นในการทยอยคืนกำไรให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนและปิดกองทุนโดยอัตโนมัติเมื่อสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ บลจ.ได้แบ่งการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนเป็น 2 กรณี คือกรณีแรกภายใน 12 เดือน หากมูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นเท่ากับหรือมากกว่า 10.30 บาทต่อหน่วย (มูลค่าพาร์ 10 บาทต่อหน่วย) กองทุนจะทำการรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติ (Auto Redemption) 0.30 บาทต่อหน่วย
และกรณีที่หน่วยลงทุนเท่ากับหรือมากกว่า 10.60 บาทต่อหน่วย กองทุนจะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมด และถือเป็นการปิดกองทุน แต่หากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ถึง 10.60 บาทต่อหน่วย ภายใน 12 เดือนแรกนับตั้งแต่วันจดทะเบียน บริษัทจะเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนขายคืนหน่วยลงทุนได้ และหากมูลค่าหน่วยลงทุนเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ บริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทั้งหมด และถือเป็นการปิดกองทุน