ในชีวิตการทำงาานของทุกคนล้วนแล้วต้องไปถึงวันที่เราต้องหยุดการทำงานและถึงบั้นปลายชีวิตยามชราภาพ เป็นที่ทราบกันว่าปัจจัย 4 คือพื้นฐานของความต้องการที่ทุกคนต้องมีในการดำรงชีวิต อย่างไรก็ตามปัจจุบันทุกคนต้องใช้จ่ายเงิน ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของการครองชีพ เวลาแห่งการทำงานที่เดินไปมาพร้อมกับรายรับและรายจ่าย และที่สำคัญคือเงินเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น จากที่กล่าวไปข้างต้นนั้น เราทุกคนจะมีเงินเก็บที่เหลือจากรายได้เป็นจำนวนเท่าไรถึงจะเพียงพอในการเลี้ยงตนเองเมื่อยามเกษียญอายุ และที่สำคัญจะทำอย่างไรให้เงินสามารถเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว เราควรจัดสรรและวางแผนการเงิน การลงทุนอย่างไร..
ทั้งนี้ ภายในงานเสวนา “แก่ไปใครจะดูแล RMF-LTF ช่วยแก้ได้จริงหรือ” ที่จัดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ก็ได้มีผู้เชี่ยวชาญให้ความรู้ด้านการลงทุนและการวางแผนการเงินเอาไว้อย่างน่าสนใจ
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กรรมการและที่ปรึกษาสมาคมนักวางแผนการเงินไทย บอกว่า ที่ผ่านมาคนไทยมีความเข้าใจเรื่องการลงทุนว่า การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงจึงเลือกลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากเป็นส่วนใหญ่ถึง 80% จึงเริ่มมองว่าทำอย่างไรจะให้คนมาลงทุนในหุ้นมากขึ้น จึงออกกองทุน LTF ที่มีการให้สิทธิลดหย่อนภาษี มาเพื่อกระตุ้นให้คนมาลงทุนในหุ้นมากขึ้น ซึ่งการลงทุนในหุ้นแม้จะมีความเสี่ยงแต่เมื่อลงทุนในระยะยาวแล้วจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตราสารหนี้และสม่ำเสมอ ซึ่งในเรื่องความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นนั้นแน่นอนว่ามี ดังนั้นเราจึงควรลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ต่างๆ ให้เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ศึกษาและรวบรวมมานั้น มองว่ากองทุน LTF ไม่ควรที่จะยกเลิกไปยังควรที่จะมีอยู่ต่อไปเพราะยังเป็นแค่ในช่วง 10 ปีแรกเท่านั้น ซึ่งเห็นผลดีต่อการลงทุนและการออมของคนวัยทำงาน
ส่วนการออมเงินนั้น ควรวางแผนการออมเงินตั้งแต่อายุยังน้อยหรือเริ่มออมตั้งแต่ในวัยทำงาน ซึ่งจะได้เปรียบเพราะมีอายุทำงานที่นานและมีการออมที่นาน หลังเกษียญแล้วจะได้เงินออมที่มากซึ่งเป็นการให้เงินทำงานในระยะยาว ดังนั้น แต่ละคนจึงควรวางแผนว่าหลังเกษียณแล้วแต่ละคนมีความต้องการใช้เงินเท่าไรถึงจะเพียงพอหลังเกษียณ จึงต้องเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ จากข้อมูลยังพบอีกว่า คนที่มีสินทรัพย์มาก เลือกกระจายลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ อย่าง หุ้น และอสังหาริมทัพย์ มากกว่าตรสารหนี้ เพราะให้ผลตอบที่สูงและสม่ำเสมอ
นางวรวรรณ ธาราภูมินายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกองทุนบำนาญที่เป็นภาคบังคับเพื่อดูแลคนที่เกษียณอายุ ประเทศไทยจึงมีความเสี่ยงในเรื่องความมั่นคงของประเทศ ปัจจุบันมีเพียงกองทุน LTF-RMF ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อออมเงินและกำลังจะสิ้นสุดในปี 2559 ดังนั้นจึงอยากให้ประเทศไทยมีกองทุนการออมที่เป็นภาคบังคับอออกมาจากทางภาครัฐเพื่อดูแลลูกจ้างในทุกกลุ่มอาชีพ ไม่เพียงแต่ลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคมเท่านั้น ซึ่งมองว่าถึงเวลาที่รัฐบาลต้องทำต้องวางรากฐานเรื่องการออมภาคบังคับและร่วมกับภาคเอกชนด้วย
โดยรูปแบบการออมภาคบังคับควรมีเหมือนในต่างประเทศ นายจ้างมีการออมเงินสมทบให้ส่วนหนึ่งด้วย อาจเริ่มต้นด้วยเพียงจำนวนไม่มากและค่อยๆ เพิ่มไป ในเรื่องนี้เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ที่คนเรียกร้องในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งตอนนี้สภาธุรกิจ ตลาดทุน ก.ล.ต.ได้ร่วมมือกันในการผลักดันในเรื่องนี้อาจต้องใช้เวลาไม่นาน แต่หากภาครัฐเห็นแก่ความสุขของประชาชนควรทำให้เกิดขึ้น
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด แนะนำการจัดสรรเงินลงทุนในระยะยาวเพื่อตอบโจทย์การลงทุนรวมไปถึงเพื่อใช้ในการเกษียณอายุว่า การจัดทัพลงทุนถือเป็นการวางแผนการลงทุนเพื่อตอบโจทย์การลงทุน โดยการลงทุนในหุ้นนั้นสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่หากลงทุนในระยะสั้นอาจมีความผันผวน ดังนั้นหุ้นควรมีการลงทุนอย่างน้อย 5-7 ปีเป็นต้นไป เช่นหุ้นที่จ่ายปันผล 3% ต่อปี หากลงทุนยาวถึง 7 ปีก็ถือเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม แต่หากมีความต้องการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนไว้ใช้ในช่วงระยะสั้น 6 เดือน-1 ปี ควรเลือกลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีสภาพคล่องสูงและต้องรักษาเงินต้นไว้ได้
งานวิจัยเผยควรลงทุนเชิงรุก
ทั้งนี้ ผลงานวิจัยของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในประเด็น **“การออมเพื่อการเกษียณอายุ”** ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันเตรียมความพร้อม ทั้งการกำหนดนโยบาย การออกผลิตภัณฑ์ การสนับสนุนให้ประชาชนเห็นความสำคัญ โดยผลการศึกษานี้ชี้แนะแนวทางเพื่อนำไปประยุกต์กับการพัฒนากลยุทธ์การสร้างแรงจูงใจให้ผู้ออมเพิ่มเงินออมมากกว่าที่กำหนด และเลือกลงทุนสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น เพื่อให้ได้รับประสิทธิผลจากเงินออมที่ดีขึ้น และเพียงพอสำหรับชีวิตวัยเกษียณ รวมทั้งส่งเสริมการให้ความรู้เรื่องผลตอบแทนการลงทุนและความเสี่ยงในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง เพื่อเตรียมพร้อมประเทศไทยในการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย
ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูลหัวหน้าทีมผู้วิจัย คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การศึกษาได้จำลองสถานการณ์การออมและการลงทุนของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นข้าราชการและมีการออมเพื่อเกษียณอายุแบบบังคับ ผ่านการบริหารจัดการโดยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เพื่อตอบคำถามงานวิจัยสองประเด็นหลัก ได้แก่ ผลกระทบเมื่อมีการปรับเปลี่ยนให้สัดส่วนเงินออมที่กำหนด จากร้อยละของเงินเดือนในอัตราคงที่ตลอดเวลาของการออม เปลี่ยนเป็นค่าที่ผันแปรได้โดยให้ผกผันกับอายุ กล่าวคืออายุน้อยสัดส่วนร้อยละของการออมต่อเงินเดือนสูงและปรับลดลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ประเด็นที่สองคือ ผลกระทบเมื่อมีการปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงโดยให้ผกผันกับอายุ กล่าวคืออายุน้อยสัดส่วนร้อยละของการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงและปรับลดลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น
โดยจากผลการศึกษาพบว่า การปรับแผนการลงทุนที่มีลักษณะอนุรักษนิยมให้เป็นเชิงรุกมากขึ้นจะส่งผลต่อความเพียงพอในวัยเกษียณมากขึ้น โดยเฉพาะการเริ่มออมตั้งแต่อายุน้อยพร้อมกับการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น ให้มีระยะเวลาการลงทุนนานขึ้น จากการศึกษายังพบว่าแผนการลงทุนที่ปรับสัดส่วนการลงทุนตามอายุโดยอัตโนมัติเหมาะกับผู้ออมที่ขาดความรู้ทางการเงินและมีพฤติกรรมเฉื่อยชาไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างชัดเจนในกลุ่มผู้มีอายุน้อย และอายุมากใกล้เกษียณจะมีความเสี่ยงลดลง
ทีมวิจัยมีข้อเสนอแนะว่า ผู้กำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการออมเพื่อเกษียณอายุควรกำหนดกรอบ และคุณสมบัติของแผนลงทุนหลักที่มีความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ สามารถสะท้อนถึงทัศนคติ และการยอมรับความเสี่ยงได้ของสมาชิกแต่ละราย และหรือครอบคลุมสมาชิกโดยส่วนใหญ่ได้ ซึ่งผลการวิจัยที่ได้น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาและส่งเสริมให้เกิดการออมและการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุได้ดีขึ้น
ทั้งหมดเป็นข้อมูลประกอบที่มีทั้งผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการออกมาให้ความเห็นด้านการลงทุนและประโยชน์ของกองทุนรวม LTF-RMF แต่อย่าลืมสิ่งสำคัญ 2 ประการก่อนตัดสินใจเลือกรูปแบบการลงทุนคือ 1. ความต้องการและเป้าหมายในการลงทุน 2. ความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ ส่วนจะเลือกรูปแบบการลงทุนหรือออมแบบไหนนั้นก็แล้วแต่สไตล์และความรู้ส่วนตัว แต่เชื่อเถอะไม่ว่ากองทุน LTF-RMF หรือเครื่องมือการลงทุนประเภทไหนก็มีประโยชน์ หากเรารู้จักวางแผนและมีวินัยในการออมเงินอย่างสม่ำเสมอ**
