บลจ.ทหารไทยชี้ตลาดหุ้นทั่วโลกราคาไม่ถูก หลังมีเงินจากการอัดฉีดของยุโรป ญี่ปุ่น ไหลเข้าลงทุนมาก คาดหุ้นไทยยังไปต่อในช่วงที่เหลือของปี เงินต่างชาติกลับมาต่อเนื่อง ขณะที่ราคาน้ำมัน ทอง ยังไม่ขึ้นแรง
นายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้เนื่องจากมีเงินที่เกิดจากการอัดฉีดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรปและญี่ปุ่นออกมามากทำให้มีเงินไหลเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ส่งผลให้ราคาหุ้นตอนนี้ปรับตัวขึ้นมามาก ระดับ P/E จึงถือว่าแพง อย่างเช่นตลาดหุ้นอินเดียที่ปรับขึ้นมามากเพราะมีเงินไหลเข้าไปลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียให้ผลตอบแทนดี เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าต่างประเทศ เนื่องจากหลังการเกิดรัฐประหาร และเริ่มมีความสงบจึงเริ่มมีเงินเข้ามาลงทุน รวมทั้งเงินลงทุนจากต่างประเทศที่กลับเข้ามาลงทุนแล้วขณะนี้ประมาณเกือบ 20,000 ล้านบาท หลังจากช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมามีเงินออกจากตลาดไทยไปประมาณ 40,000 ล้านบาท และทำให้เงินบาทเริ่มแข็งค่าขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นอินโดนิเซีย และฟิลิปปินส์ ที่มีเงินไหลเข้ามาก
“ตลาดหุ้นไทยในช่วง 4-5 เดือนแรกมีปัญหาจากเรื่องการเมือง เงินต่างชาติออกไปแต่นักลงทุนไทยยังมีมุมมองการลงทุนที่ดีในไทย เพราะมองว่าการเกิดรัฐประหารทำให้เกิดความสงบ หลังเกิดรัฐประหารจึงเริ่มดีขึ้นเพราะมีความสงบ บจ.จึงเริ่มปรับการเติบโตของ จีดีพีขึ้น มองว่าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวขึ้นไปได้ต่อ แต่ไม่ได้ปรับขึ้นมาเพราะปัจจัยพื้นฐานมากนัก”
โดยการลงทุนในตอนนี้แม้ว่ามีเข้าเอเชียมากจนทำให้มองว่าตลาดเอเชียดีกว่าตลาดพัฒนาแล้ว แต่ตลาดเอเชียและตลาดเกิดใหม่มีความผันผวนมากกว่าเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว แต่ก็ไม่ผันผวนมาก จึงขึ้นอยู่กับความสนใจของนักลงทุนที่จะเลือกการลงทุนในต่างประเทศช่วงนี้ ขณะที่ราคาพลังงานตอนนี้ปรับตัวขึ้นมาแต่ก็ยังอยู่ในระดับนิ่งๆ ไม่ปรับขึ้นมามาก เรื่องปัญหาในตะวันออกกลางตอนนี้ยังไม่ได้ขยายผลออกไปมากนักจึงยังไม่น่าจะมีผลกระทบเรื่องราคาน้ำมัน
ทั้งนี้ บริษัทมองภาวะราคาทองว่า ราคาทองคำดีดตัวขึ้น 6.21% ในเดือน มิ.ย. มายืนเหนือ 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากสถานการณ์อิรัก ตามด้วยถ้อยแถลงเชิงผ่อนคลายของประธาน Fed หลังการประชุม FOMC วันที่ 18 มิ.ย. ทองคำขาดความน่าสนใจเมื่อเศรษฐกิจขยายตัวดีขึ้น จึงแนะนำให้ถือครองทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงในสัดส่วนไม่เกิน 15% ของพอร์ต แนวรับระยะสั้น 1,285 และถัดมา 1,260 ดอลลาร์/ออนซ์
ขณะที่ภาวะราคาน้ำมัน WTI เพิ่มขึ้น 2.59% ในเดือน มิ.ย. จากสถานการณ์อิรัก ขณะสต๊อกน้ามันยังคงแนวโน้มปรับตัวลดลงตามฤดูกาล ทำให้ราคามีแนวโน้มแกว่งตัวขึ้นได้ในระยะ 1-2.5 เดือนข้างหน้า ซึ่งมองว่าแนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 103.5-105 ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 108-109.5 ดอลลาร์/บาร์เรล รัฐบาลสหรัฐฯ ผ่อนปรนกฎการส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันทำให้ส่วนต่าง Brent-WTI มีแนวโน้มลดลง ขณะที่สหรัฐฯ ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นจนแซงหน้าซาอุดีอาระเบียแล้วในไตรมาสแรก ช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะขาดแคลนน้ำมันอย่างรุนแรงเมื่อเกิดความไม่สงบในประเทศผู้ผลิตน้ำมันดังเช่นในอิรัก