บลจ.ไทยพาณิชย์ตั้งเป้าทำกอง REITลงทุนอสังหาฯ 3-4 กองทุนมูลค่ารวมหมื่นล้านบาท พร้อมเล็งกองอินฟราฯ ไฟฟ้า ขนส่ง สื่อสาร ของภาคเอกชน มั่นใจเอยูเอ็ม Q3 แตะ 1 ล้านล้านบาท หลังยอดครึ่งปีอยู่ที่ 9.6 แสนล้านบาท ระบุกอง LTF มีประโยชน์มากกว่าภาษีที่เสียไป วอนภาครัฐพิจารณา
นายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานรวมกันประมาณ 1.2 แสนล้านบาท และมีแผนที่จะจัดตั้งกองทรัสต์ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) อีก 3-4 กอง มูลค่ารวมกันประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่กองทุนโครงสร้างพื้นฐานอื่นกำลังอยู่ระหว่างการศึกษา ซึ่งน่าจะเป็นโครงการภาคเอกชนมากกว่า เช่น ไฟฟ้า ขนส่ง สื่อสาร หรือท่อส่ง เป็นต้น
ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทได้นำกองอสังหาริมทรัพย์ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค (PPF) ซึ่งเป็นกองอสังหาริมทรัพย์กอง 1 กองสุดท้ายของบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (7 ก.ค.) และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเพราะค่าเช่าค่อนข้างสม่ำเสมอ และคาดว่าในปีแรกจะให้อัตราผลตอบแทนประมาณ 7.8-7.9% แก่นักลงทุน
ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทในครึ่งปีแรกนั้น บริษัทมีสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) เพิ่มขึ้นเป็น 960,000 ล้านบาท และคาดว่าในไตรมาสที่ 3 สินทรัพย์จะขยับแตะ 1 ล้านล้านบาทได้ เพราะจะได้เงินจากสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) มาบริหารอีกไม่ต่ำกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท
นายสมิทธ์กล่าวอีกว่า สำหรับความคืบหน้าของการต่ออายุสิทธิทางภาษีของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป แต่บริษัทก็ยังเดินหน้าให้ความรู้นักลงทุนต่อไป โดยหากไม่ต่อจริงๆ ยอมรับว่าเงินลงทุนบางส่วนคงหายไป แต่บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถดึงเงินลงทุนเดิมไว้ได้ประมาณ 30-50% โดยพยายามจะให้ความรู้แก่นักลงทุนซึ่งเป็นลูกค้าของแบงก์ที่มีสัดส่วนพนักงานบริษัทประมาณ 50% และไม่ใช่พนักงานบริษัทอีก 50% ให้คนกลุ่มที่ไม่ใช่พนักงานบริษัทมาใช้ประโยชน์ผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มากขึ้นเพื่อเป้าหมายชีวิตหลังเกษียณ
“สำหรับกองทุน LTF ตอนนี้ยังไม่มีบทสรุป ก็อยากฝากถึงภาครัฐว่าในยุโรปกองทุนบำนาญของยุโรปเองยืนยันว่าการคงกองทุนประเภทนี้ไว้ในระยะยาวประโยชน์ที่ได้มากกว่าภาษีที่เสียไป ช่วยยกระดับธรรมาภิบาลบริษัทจดทะเบียนและสร้างเสถียรภาพให้ตลาดทุนผ่านนักลงทุนสถาบัน ตลอดจนสร้างวัฒนธรรมการออมระยะยาวในหุ้นให้แก่ประชาชนด้วย”
นายสมิทธ์กล่าวอีกว่า บริษัทเองยังไม่สนใจจะตั้งกองทุนที่ไปลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Bond Yield) แต่ประการใด และไม่ต้องทำบริษัทก็มั่นใจว่าบริษัทสามารถเติบโตได้เช่นกัน ถ้าจะทำบริษัทคงหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้มาร่วมด้วยและคงเสนอขายให้ลูกค้าเฉพาะกลุ่มเท่านั้น เพราะ บมจ.ไทยพาณิชย์ให้นโยบายแล้วว่าโปรดักต์ความเสี่ยงสูงทำได้ แต่ต้องเสนอขายแก่ลูกค้าที่ถูกกลุ่มด้วยเท่านั้นเอง
iframe src="//www.facebook.com/plugins/likebox.php?href=https%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2FAstvManageriBusiness&width=292&height=290&colorscheme=light&show_faces=true&border_color&stream=false&header=true" scrolling="no" frameborder="0" style="border:none; overflow:hidden; width:292px; height:290px;" allowTransparency="true">
