คอลัมน์ Talk tisco
โดยทีมจัดการการลงทุน
บลจ.ทิสโก้ จำกัด
ในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ หากพูดถึงรัฐประหารอาจจะมีมุมองในเชิงลบ แต่สำหรับคนไทยเชื่อว่าส่วนมากจะมีมุมมองต่อการรัฐประหารในครั้งนี้ที่แตกต่างจากต่างชาติอยู่พอสมควรจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม กปปส. กับฝ่ายรัฐบาลที่กินเวลามายาวนาน ทำให้เศรษฐกิจของประเทศต้องหยุดชะงักลง กลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่สามารถทำงานได้ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ถูกปรับประมาณการลงอย่างต่อเนื่องจาก 3.0-4.0% ในตอนต้นปี มาอยู่ที่ 1.0-2.0.% ซึ่งถ้าหากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อต่อไป เศรษฐกิจไทยในปีนี้ก็อาจจะถูกฉุดจนอัตราการขยายตัวติดลบก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อคู่ขัดแย้งไม่สามารถตกลงกันได้ การรัฐประหารก็ถือได้ว่าเป็นทางออกหนึ่งที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ถึงแม้จะเป็นการก้าวเดินแบบช้าๆ คือมุ่งเน้นไปในการปฏิรูปประเทศมากกว่าการกระตุ้นการใช้จ่าย การลงทุนเหมือนเช่นในอดีตก็ตาม แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่เราเริ่มเห็นในช่วงที่ผ่านมาหลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามากุมอำนาจ ก็คือการสั่งจ่ายเงินค่าจำนำข้าวที่ติดค้างอยู่ให้แก่ชาวนา ทำให้ชาวนาเริ่มสามารถจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น ซึ่งจุดนี้เองก็จะทำให้เครื่องยนต์ที่เกี่ยวกับการบริโภคถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากนี้ การต่ออายุมาตรการทางภาษี เช่น VAT หรือภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จะหมดอายุในปีนี้ การเริ่มจัดทำงบประมาณปี 2558 และอื่นๆ ที่จะตามมา จะช่วยให้กลไกทางเศรษฐกิจเริ่มเดินได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เราคิดว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงภาพเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือยังไม่ได้เป็น Blue sky scenario เช่น เงินที่จ่ายค่าจำนำข้าวให้ชาวนา ถึงแม้จะช่วยด้านการบริโภคได้บ้าง แต่เงินส่วนใหญ่ชาวนาต้องนำไปชำระหนี้ ทำให้ไม่ได้ส่งผลต่อการบริโภคได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือการผ่านงบประมาณด้านการลงทุนก็ยังมีความเสี่ยงเรื่องการเบิกจ่ายที่ล่าช้า อาจจะไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงด้านการลงทุนอย่างทันทีทันใด ดังนั้นเราจึงยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP growth) สำหรับปี 2014 และ 2015 ไว้ที่ 1.0% และ 3.5% ตามลำดับ เรามองว่า Upside risk
สำหรับประมาณการนี้จะเกิดขึ้นในกรณีที่
1. รัฐบาลที่แต่งตั้งขึ้นมาใหม่ในครั้งนี้เป็นผู้มีความสามารถและเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นที่จะเพิ่มการลงทุน
2. การปฏิรูปประเทศเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และจัดให้มีการเลือกตั้งภายในระยะเวลาไม่นานเกินไป
3. มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง ในขณะเดียวกัน สำหรับ Downside risk นั้นเรามองว่า ความไม่สงบที่อาจจะเกิดขึ้นจากกลุ่มต่อต้านรัฐประหารจนทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจไทยตกต่ำลงไปอีก
ดังนั้น ในแง่ของกลยุทธ์การลงทุน เรายังคงให้ Target SET index สำหรับปีนี้ไว้ที่ 1,430-1,450 จุดเช่นเดิม โดยการเลือกซื้อหุ้นนับจากนี้ต่อไปให้จับตาดูการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายของรัฐบาลใหม่ว่ามีแนวโน้มจะไปในทิศทางไหน หุ้นใดที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายต่างๆ โดยให้ดูที่ valuation ของหุ้นรายตัวประกอบด้วย เพราะอย่าลืมว่า Valuation ของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันไม่ได้มีความถูก (ในเชิง PER) เมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้าน ในขณะที่ความไม่แน่นอนในเชิงนโยบาย และความเสี่ยงในการประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจยังคงอยู่
ดังนั้นนักลงทุนควรเน้นในเรื่องของ Stock selection ให้มาก โดยให้เน้นหุ้นที่มี Earnings ที่มีเสถียรภาพ มี Dividend yield สูง อิงกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และในหุ้นที่มีแนวโน้มที่จะได้รับการปรับประมาณการผลประกอบการขึ้นจากนโยบายทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต