เศรษฐกิจไทยกับการลงทุนเป็นเรื่องคู่กัน และในปัจจุบันเศรษฐกิจไทยดูเหมือนจะชะลอตัวลงสวนทางกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซี่งหลายคนหลายท่านคงอยากทราบว่ากลยุทธ์การลงทุนท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ควรจะทำอย่างไรดี
ก่อนอื่นก็คงจะต้องพิจารณาแนวโน้วของเศรษฐกิจกันก่อน โดยนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้ถือว่าชะลอตัวลงอย่างมาก และมีโอกาสที่จะชะลอตัวลงและจนติดลบได้ หลังจากที่เศรษฐกิจไทยไม่เคยติดลบเลยตั้งแต่ปี 2008 และ 2009 โดยการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยอาจเติบโตได้ในระดับ 2-3% นั้นเป็นเพียงการประเมินจากข้อมูลในปัจจุบันเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ หากดูพัฒนาการจะพบว่าการเมืองมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญสำหรับรอบนี้แตกต่างจากทุกรอบที่เกิดขึ้น และคาดว่าจะมีผลกระทบต่อการบริหารงานในปีหน้าอยู่ดี เพราะว่าน่าจะกระทบไปถึงการใช้จ่ายภาครัฐในปีหน้าด้วย ซึ่งในระยะสั้นช่วงไตรมาส 2 และ 3 น่าจะเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยคาดว่าในระยะสั้นหุ้นไทยอาจปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง เพราะนอกจากปัจจัยการเมือง ผลกระกอบการในปีนี้ไม่น่าจะออกมาดีนัก
ส่วนการส่งออกที่คาดว่าจะกลับมาเป็นตัวช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยได้นั้น ส่วนตัวแล้วมองว่า ไม่น่าจะมีน้ำหนักมากนัก เพราะตัวเลขการส่งออกไปยังประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรปน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะอยู่ที่ประมาณ 20% และยุโรปอยู่ที่ประมาณ 10% แต่ปัจจุบันอย่างสหรัฐฯ จะเหลืออยู่ประมาณ 9% เท่านั้น ถึงแม้ว่าสามารถชดเชยด้วยการส่งออกไปจีนและอาเซียนก็ตาม อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการส่งออกในปีนี้น่าจะเติบโตได้ในระดับ 10%-20%
“การส่งออกอย่างเดียวจึงไม่น่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยได้ เนื่องจากได้รับผลกระทบไปทุกภาคทั้งการลงทุน การบริโภค รวมถึงการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากว่าจะมีบทสรุปอย่างไร แต่เชื่อได้อย่างหนึ่งว่าจะเป็นปีที่ยากต่อภาคธุรกิจของไทยอย่างแน่นอน”
ด้าน นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง บอกในทำนองเดียวกันว่า การคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วคาดว่าจะเติบโตได้ประมาณ 4-5% แต่ช่วงต้นปีมีการปรับลดลงมาเรื่อยๆ จนเหลือ 3% ซึ่งตรงนี้ทำให้เรามั่นใจว่าจะส่งผลให้นักลงทุนสถาบันและรายย่อยเริ่มมีความกังวล
อย่างไรก็ตามเรื่องเหล่านี้ตลาดรับรู้ไปแล้ว ทั้งจากประเด็นเศรษฐกิจ การเมือง เราควรมองถึงปีหน้าแล้วว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร เพราะถ้าดูจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินเอาไว้น่าจะกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามคงจะต้องดูสถานการณ์อีกครั้ง เพราะทั้งหมดจะอยู่ใต้สมมติฐานที่ว่าทุกอย่างสงบในส่วนของการเมือง ซึ่งเราจะต้องดูล่วงหน้า โดยข่าวที่ออกมาส่วนใหญ่ ราคาของหุ้นจะสะท้อนล่วงหน้าไปประมาณ 9-12 เดือนแล้ว
ขณะที่นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) บอกอีกว่า เศรษฐกิจไทยนอกจากที่จะต้องเผชิญปัญหาจากภายในประเทศแล้ว ปัจจัยภายนอกยังมีสัญญาณของความไม่แน่นอนของปัญหาแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ หากดูเศรษฐกิจสหรัฐฯ แล้วจะพบว่า ถึงแม้จะมีการให้ยาโดยการอัดเงินเข้าระบบแล้ว แต่ผลที่ออกมากลับไม่ตรงตามจุดที่ต้องการแก้ไข โดยปัจจุบันเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ปรับลดจาก 4% เหลือเพียงแค่ 1% ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก เพราะที่ผ่านมาหากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับลดลงต่ำกว่า 1% เมื่อไรจะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างมาก
“มีความเป็นไปได้ว่าจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเทขายอีกครั้ง ซึ่งถึงแม้ในช่วงที่ผ่านมามีการเทขายไปบ้างแล้ว แต่เชื่อว่ายังไม่หมดและมีโอกาสที่จะมีการเทขายอีกหากเกิดปัญหาเศรฐกิจในส่วนของเงินฝีดขึ้นในสหรัฐฯ และเงินจะกลับไปเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอย่างเงินดอลลาร์”
ทั้งหมดเป็นความเห็นของกูรูและผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป และดูเหมือนจะค่อนข้างย่ำแย่หรือดูน่ากลัวพอสมควร แต่แน่นอนว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาส ซึ่งถ้าแผนดีกลยุทธ์เด่นก็มีหนทางทำไรเช่นกัน
นายพีรพงศ์บอกว่า การเลือกลงทุนในช่วงนี้น่าจะต้องดูในส่วนของหุ้นที่มีปันผลดีน่าจะเหมาะที่สุดเพื่อรอคอยการเปลี่ยนแปลงในอนาคต แต่คงจะต้องเลือกหุ้นที่มีความมั่นคงและไม่จำเป็นจะต้องพึ่งการลงทุนจากภาครัฐ และต้องเป็นหุ้นที่มีธุรกิจเกี่ยวกับคนไทยที่ต้องกินต้องใช้เสมอเป็นหลัก เช่น อาหารการกิน เครื่องดื่ม และที่อยู่อาศัย เป็นต้น แต่คงจะต้องหลีกเลี่ยงบริษัทที่เกี่ยวกับการก่อสร้างเพราะมีต้นทุนแฝงอยู่พอสมควร
ด้านนายปริญญ์ กล่าวเสริมว่า กลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจลงทุนในขณะนี้จะอยู่ในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจไม่มาก โดยหุ้นไทยดีๆ จะมีอยู่ และหากเปรียบเทียบกับภูมิภาคเดียวกันและน่าจะได้เปรียบมากที่สุดคือการที่บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งมีผู้บริหารที่เก่งมาก และดีกว่าเพื่อนบ้านเยอะ แต่ในเชิงคุณภาพและราคาแล้วตอนนี้น่าจะแพงไปนิดหนึ่ง โดยหากเปรียบเทียบกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจเดียวกันในจีน มูลค่าหุ้นจะอยู่ที่ P/E ประมาณ 15 เท่า แต่สำหรับของไทยแล้วบริษัทพวกนี้จะอยู่ที่ประมาณ 20 เท่าเลยทีเดียว
ส่วนกลุ่มธนาคารนั้นถึงแม้จะแพงกว่าในจีนก็ตามแต่ยังถูกกว่าของฟิลลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยถึงแม้จะมีการปล่อยกู้ที่ไม่มากนัก แต่ก็มีการปันผลที่ชัดเจน ซึ่งเชื่อหุ้นในกลุ่มธนาคารภายใน 2-3 ปีน่าจะกลับมาและมีอัตราการปล่อยกู้ที่เติบโตขึ้นได้
ขณะที่นายประภาส กล่าวว่า ระยะยาวดัชนีราคาหุ้นจะขึ้นได้ด้วยผลประกอบการของบริษัท และถ้าเศรษฐกิจไทยชะลอตัวคงจะต้องมองธุรกิจที่ยังมีผลประกอบการดีในช่วง 3-5 ปีนี้ บนพื้นฐานของรูปแบบการทำธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีความเป็นผู้นำในธุรกิจนั้นๆ โดยกำไรจะต้องเติบโตในอัตรา 5-10% ต่อปีไปอีก 3-5 ปีถึงแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวหรือติดลบก็ตาม นอกจากนี้ยังต้องดูเงินปันผลด้วยว่าถ้ามีการปันผลในปีนี้ได้ 5-7% ก็น่าจะเป็นบริษัทที่สามารถลงทุนในระยะยาวได้ ซึ่งในช่วง 5 ปีจะมีผลตอบแทนประมาณ 35% ซึ่งหากหุ้นตกลงไปเต็มที่แล้วก็น่าจะพอชดเชยกันได้ ต้องดูบริษัทที่มีงบดุลที่แข็งแกร่ง กระแสเงินสดเยอะๆ และพร้อมที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าน่าจะทำให้นักลงทุนสบายใจได้
“กำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้จะสะท้อนราคาหุ้นมาก ซึ่งน่าจะทราบภายในช่วงเดือนเมษายนนี้ และถ้าตัวเลขออกมาไม่ดีทั้งปีก็คงจะน่าเป็นห่วง เพราะปีที่แล้วบริษัทจดทะเบียนกำไรกว่า 7 แสนล้านซึ่งเป็นการเติบโตถึง 15% ส่วนในปีนี้ถ้าทำได้ถึง 5% ก็จะถือว่าดีมากแล้ว เพราะที่ผ่านมาเราได้อานิสงส์จากการลดภาษีนิติบุคคล แต่ก็คงจะหมดอายุในปีนี้แล้ว และมีแต่จีดีพีที่ลด แต่ควรจะมองข้ามไปสัก 2-3 ปี เพราะในช่วง 10 ปีที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับปัญหาผู้ประกอบการมีการปรับตัวไปมากแล้ว”
สรุปแล้วแนวทางต่อจากนี้นักลงทุนต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังมากขึ้น ทั้งในส่วนของธุรกิจที่จะลงทุน งบดุล กระแสเงินสด ผู้บริหาร แต่ที่ย้ำกันสุดๆ คือ อย่าลืมเตรียมกระสุนไว้แล้วกัน เพราะถึงเวลาแล้วตกรถจะเสียใจ