บลจ.กรุงศรีออกกองทุนเปิดกรุงศรีอิควิตี้ 3% พลัส 3% ทริกเกอร์ 2 (KFEQ3P3-2) ตั้งเป้าผลตอบแทนโดยรวม 6% ในระยะเวลา 6 เดือน มองหุ้นไทยปรับตัวลงมาแล้ว ราคาถูกเมื่อเทียบกับภูมิภาค เสนอขายครั้งเดียวระหว่างวันที่ 21-29 ม.ค. 57
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด เปิดเผยว่า “บริษัทเปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีอิควิตี้ 3%พลัส3%ทริกเกอร์ 2 (KFEQ3P3-2) อายุโครงการประมาณ 6 เดือน มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยเน้นลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่มีผลประกอบการดี กองทุน KFEQ3P3-2 ตั้งเป้าจ่ายผลตอบแทนเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นรวมกันประมาณ 6%”
โดยกองทุนมีจุดเด่นที่ผู้ลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนเร็วขึ้นจากการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ 2 ครั้ง โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนครั้งแรกเมื่อหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น 3% หรือกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนเท่ากับ 10.30 บาท ติดต่อกัน 5 วันทำการ หรือ ณ วันใดวันหนึ่งระหว่าง 5 วันทำการ ซึ่งบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติในอัตราไม่น้อยกว่า 3% ของราคาที่ตราไว้หรือ 0.30 บาทต่อหน่วย และผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนครั้งที่ 2 อีก 3% เมื่อกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นทั้งหมดรวมเป็น 6% ของเงินลงทุนเริ่มแรก หรือมีมูลค่าหน่วยลงทุนเท่ากับ 10.72 บาท ติดต่อกัน 5 วันทำการหรือ ณ วันใดวันหนึ่งระหว่าง 5 วันทำการนั้นตามที่บริษัทเห็นสมควร
ทั้งนี้ บลจ.กรุงศรีคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2557 จะฟื้นตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวดีขึ้นหลังจากหนี้ภาคครัวเรือนมีแนวโน้มลดลง รวมถึงได้รับแรงกระตุ้นจากช่วงมหกรรมฟุตบอลโลก ทั้งนี้ บริษัทยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทยในระยะกลางถึงยาว แม้ว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยอาจมีความผันผวนอยู่บ้างจากสถานการณ์ทางการเมืองและการหยุดมาตรการ QE อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยก็ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและภาวะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีความน่าสนใจ มูลค่าตลาดหุ้นไทย (valuation) อยู่ในระดับที่น่าลงทุน เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยได้ปรับตัวลดลงค่อนข้างมากแล้ว จึงมีโอกาสปรับตัวขึ้นสะท้อนผลประกอบการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนซึ่งมีแนวโน้มเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง”
“กองทุนเปิดกรุงศรีอิควิตี้ 3%พลัส3%ทริกเกอร์ 2 (KFEQ3P3-2) เป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนในตราสารทุน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองโอกาสการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยและต้องการเข้ามาลงทุนเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนตามเป้าหมาย แต่ไม่มีเวลาพอในการติดตามสภาวการณ์และหาจังหวะการลงทุนที่ดี ซึ่งการจัดสรรเงินบางส่วนมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในจังหวะที่เหมาะสมกับกองทุน (KFEQ3P3-2) จะช่วยเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนได้ ทั้งนี้ นักลงทุนต้องสามารถรับความผันผวนของราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้” นายฉัตรพีกล่าว
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเสนอขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า ทริกเกอร์8% # 12”(TISCO China Trigger 8% Fund # 12)เป็นกองทาร์เก็ตฟันด์ที่ลงทุนในหุ้นจีน ผ่านกองทุนอีทีเอฟต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนHang Seng H-Share Index ETFในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงซึ่งมีนโยบายการลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี HSCEIหรือH-Sharesรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจีนอีกครั้งและแข็งแกร่งกว่าเก่า ด้วยปัจจัยสนับสนุนการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนจากแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ10ประการ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก
โดยกองทุนดังกล่าวมีอายุโครงการ8 เดือน โดยจะเลิกกองทุนเมื่อสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง8%หรือมีมูลค่าหน่วยลงทุน(NAV)มากกว่าหรือเท่ากับ10.80บาท มูลค่าโครงการ 1,000ล้านบาท เสนอขายแล้วตั้งแต่วันนี้ - 28ม.ค. 57นี้ มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ5,000บาท
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียในช่วงนี้ยังมีการเติบโตที่ดีแต่การลงทุนในตลาดหุ้นยังไม่น่าสนใจ โดยตลาดในกลุ่มเอเชียรวมทั้งอาเซียนมีการปรับตัวลงหลังเงินลงทุนย้ายไปลงทุนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐฯ ยุโรป ที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น และตลาดหุ้นซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดี อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มประเทศเอเชียทางเหนือ อย่าง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน ยังมีความน่าสนใจ เพราะเศรษฐกิจได้รับอานิงสงส์จากการฟื้นตัวของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ส่งผลให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นจากภาคการส่งออก ซึ่งประเทศในกลุ่มเอเชียเหนือถือเป็นประเทศที่มีการผลิตและส่งออกจำนวนมาก เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ เป็นต้น
ทั้งนี้ การฟื้นตัวของสหรัฐฯ ยุโรป ประกอบกับค่าเงินที่อ่อนตัวลงของภูมิภาคเอเชีย ทำให้แนวโน้มการลงทุนในกลุ่มนี้มีความน่าสนใจ จากระดับราคาหุ้นที่ถูกกว่าเอเชียในกลุ่มอื่นและถูกกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ