บลจ.กรุงศรีเผยแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปเริ่มปรับเป็นบวก คาดปีนี้โต 1.0% ส่วนปีหน้าโต 1.4% พบสัญญาณเงินลงทุนไหลเข้าแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีก่อน มั่นใจตลาดหุ้นเด้งรับเศรษฐกิจโต แนะชิงจังหวะโยกเงินลงทุนเพิ่ม เหตุของถูกแถมกำไรบริษัทจดทะเบียนโตมากกว่าเศรษฐกิจ
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี เปิดเผยว่า แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและกลับมาเป็นบวกตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าภาพรวมทั้งปี 2556 จะยังคงติดลบอยู่ที่ระดับ 0.4% ก็ตาม ส่วนในปีนี้เศรษฐกิจยุโรปน่าจะเติบโตเป็นบวกได้ที่ 1.0% และในปีหน้าจะเติบโตที่ 1.4%
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นเองชอบทิศทางที่ชัดเจนและทิศทางของเศรษฐกิจยุโรปกำลังเป็นการฟื้นตัวจากลบมาเป็นบวก ทำให้มีผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญมาก ซึ่งถึงแม้ในปีที่ผ่านมาจะเห็นเงินไหลเข้าตลาดญี่ปุ่นมากที่สุด แต่ก็ยังเห็นสัญญาเงินไหลเข้ายุโรปตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้วด้วยเช่นกัน โดยเม็ดเงินที่ไหลเข้ายุโรปในช่วงนั้นมีขนาดใกล้เคียงกับเงินที่ไหลเข้าไปลงทุนในประเทศญี่ปุ่น และมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ไหลเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ
“เชื่อว่าปี 57 นี้ตลาดหุ้นยุโรปยังจะคงให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกติดต่อกันได้เป็นปีที่ 3 ต่อเนื่องหลังจากขึ้นมาแล้ว 2 ปี ในปีก่อนตลาดหุ้นยุโรปให้ผลตอบแทนประมาณ 20% และในปีนี้คาดว่าจะให้ผลตอบแทนประมาณ 11-13%”
นายประภาส กล่าวอีกว่า ในแง่ของมูลค่าตลาดหุ้นยุโรปเองยังถูกเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาอื่นอย่างสหรัฐฯ หรือญี่ปุ่น โดยมีสัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ประมาณ 13.5 เท่า มีสัดส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และราคายังต่ำกว่าจุดสูงสุดก่อนวิกฤตประมาณ 30% โดยในปีนี้กำไรบริษัทจดทะเบียนคาดว่าจะโตประมาณ 13% และมีอัตราจ่ายเงินปันผล 3.6% ในด้านเศรษฐกิจเองยุโรปก็มีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของกลุ่มประเทศยูโรโซนบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะฟื้นตัวในอัตราที่สูงขึ้น นอกจากนี้ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์และเอสแอนด์พีต่างทยอยปรับอันดับความน่าเชื่อถือของกลุ่มประเทศที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวที่ดีขึ้น
ปัจจุบันบริษัทมี “กองทุนเปิดกรุงศรียุโรปอิควิตี้ (KF-EUROPE)” ซึ่งลงทุนในกองทุน “Alliance Europe Equity Growth Fund” ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพดีในยุโรป โดยหุ้น 10 อันดับแรกมีน้ำหนักในพอร์ตประมาณ 34.72% แต่มีสัดส่วนของรายได้จากตลาดเกิดใหม่ประมาณ 41.8% เพราะบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นบริษัทข้ามชาติชั้นนำที่รู้จักทั่วโลก
“หุ้นที่กองทุนหลักเลือกลงทุนนั้นจะเน้นหุ้นที่มีการเติบโตจากภายในที่มาจากกำไรและกระแสเงินสดของกิจการเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นการเติบโตในระยะยาว และไม่ชอบหุ้นที่เติบโตเป็นวัฏจักร กองทุนหลักจึงสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนในระยะยาว และกองทุนหลักเน้นถือหุ้นเพื่อลงทุนในระยะ 3-5 ปีขึ้นไป นักลงทุนที่สนใจจึงควรจะมีมุมมองการลงทุนในระยะยาวด้วยเช่นกัน”