บลจ.ทิสโก้ชูธงลุยหุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่น หลังการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจชัดเจนขึ้น ราคาหุ้นไม่แพง ล่าสุดส่งกองทุน RMF ลุยทั้ง 2 ประเทศ มองโอกาสเติบโตสูง พร้อมมองหุ้นไทยยังมีความผันผวนจากปัญหาการเมือง มองกรอบดัชนีที่ 1,300-1,350 จุด
ด้าน นายคมศร ประกอบผล นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ มองว่า ปัจจุบันความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยเริ่มมีน้อยลง เนื่องจากราคาหุ้นไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตลอดช่วง 3 ปีทำให้ราคาหุ้นไทยแพงกว่าตลาดอื่นในเอเชียโดยเฉลี่ย รวมถึงตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวลงจากผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐที่หมดอายุลง ประกอบกับความเสี่ยงจากอุณหภูมิการเมืองในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นจากการผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ล้วนแต่เป็นปัจจัยกดดันการเติบโตของตลาดหุ้นไทยทั้งสิ้น
ทั้งนี้ การลงทุนในสหรัฐฯ และญี่ปุ่นมีความน่าสนใจขึ้นมาก เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศมีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ในปี 2557 สหรัฐฯ จะลดขนาดของการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE Tapering) ทำให้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ กลับเป็นขาขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากตราสารหนี้มาลงทุนในหุ้นมากขึ้น (The Great Rotation) และทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ซึ่งจะส่งผลบวกต่อการถือครองสินทรัพย์ในสหรัฐฯ นอกจากนี้ การรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังออกมาดีกว่าที่คาดไว้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังคงมีสัญญาณเป็นบวกจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนายชินโซ อาเบะ หรือนโยบายธนูสามดอก (Three arrows) ได้แก่ การกระตุ้นด้วยนโยบายการคลัง การเงิน และการปฏิรูปเศรษฐกิจ ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะต่อไปสดใสขึ้น โดยล่าสุดตัวเลขเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงตามนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่นยังจะส่งผลบวกต่อผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในญี่ปุ่นที่จะเติบโตอย่างโดดเด่นในปีนี้ อีกทั้งค่า P/B ของดัชนี Nikkei225 ปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในตลาดพัฒนาแล้ว หรืออยู่ที่ 1.4 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นโลก ทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นจึงน่าสนใจเป็นอันดับต้นๆ ของโลกในขณะนี้
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บลจ.ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า เราประเมินกรอบหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีอยู่ที่ 1,300-1,350 จุด โดยปัจจัยบวกที่หนุนนั้นก็คือเงินลงทุนจากกองทุน LTF-RMF รวมถึงนักลงทุนที่ยังมั่นใจในการลงทุนหุ้นไทยและมีความเข้าใจปัญหาการเมืองหรือความเสี่ยงของไทย อย่างไรก็ตาม เรามองว่าหากดัชนีลงต่ำกว่า 1,300 จุดจะมีแรงซื้อกลับเข้ามาเพิ่มเพราะพื้นฐานปัจจัยหุ้นไทยยังดี
ล่าสุด บลจ.ทิสโก้ได้เปิดเสนอขายกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ 2 กองทุนรวด เพื่อสร้างโอกาสสู่ความมั่งคั่งยามเกษียณให้แก่ลูกค้า ได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ” โดยจะเปิดเสนอขายครั้งแรกวันที่ 12-27 พ.ย. 56 นี้
สำหรับกองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR S&P 500 ETF (กองทุนหลัก) ซึ่งเป็นกองทุนอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund) ซึ่งบริหารและจัดการโดย State Street Global Advisors ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ขณะที่กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Nikkei 225 Exchange Traded Fund (กองทุนหลัก) ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายการลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี Nikkei 225 และหุ้นที่กำลังจะมาเป็นส่วนประกอบของดัชนี Nikkei 225 เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานของดัชนี Nikkei 225 พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วยเช่นกัน