บลจ.ทิสโก้มองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นส่งผลดีต่อบริษัทจดทะเบียน ขณะราคาหุ้นยังต่ำเป็นจังหวะรับผลตอบแทนที่ดี เปิดขาย กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้ วันที่ 17-31 ก.ค. 2556
นางสาววรสินี สังวรเวชภัณฑ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ. ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีการปรับตัวที่ดีขึ้น โดยในปีนี้คาดว่าจะเติบโตที่ 2.7% เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีที่ผ่านมาที่โตอยุ่ที่ 1.2% ขณะเดียวกันคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี NIKKEI ปีนี้จะมีการขยายตัวอยู่ที่ระดับ 60% และในปี 2557 จะขยายตัวอยู่ที่ 12% ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตของกำไรที่โดดเด่นที่สุดในโลก
โดยที่ระดับ P/E ของหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 18 เท่า ซึ่งยังถือว่าต่ำกว่าในอดีต ซึ่งราคาหุ้นเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานปี 2556 ยังคงถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 22.9 เท่า ในปัจจุบันดัชนี NIKKEI เทรดอยู่ที่ระดับ P/E บนคาดการณ์ผลกำไรของปี 2556 ที่ราว 16.6 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในช่วง 3 ปีย้อนหลัง โดยหากสมมติให้ดัชนีเทรดที่ระดับ P/E เฉลี่ยในช่วงดังกล่าวที่ 21.2 เท่า หรือระดับสูงสุดที่ 25 เท่า ดัชนี NIKKEI ก็จะมี Upside จากระดับปัจจุบันอยู่อีกถึง 22% และ 44% ตามลำดับ
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บลจ. ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า จากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หรือมาตรการ “อาเบะโนมิกส์” (Abenomics) โดยที่แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งประกอบด้วย 3 มาตรการหลัก คือ การใช้นโยบายการคลัง การดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ และแผนยุทธศาสตร์การเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีนโยบายชัดเจนที่จะทำให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลง จะส่งผลให้แนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโตอย่างเด่นชัดขึ้น
“บลจ.ทิสโก้เปิดเสนอขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้ (TISCO Japan Equity Fund)” โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Nikkei 225 Exchange Traded Fund (กองทุนหลัก) ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์โอซากา (Osaka Securities Exchange, “OSE”) ประเทศญี่ปุ่น มีนโยบายการลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี Nikkei 225 และหุ้นที่กำลังจะมาเป็นส่วนประกอบของดัชนี Nikkei 225 เปิดเสนอขายครั้งแรก 17-31 ก.ค. 2556 มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 5,000 บาท”
สำหรับความเสี่ยงในด้านเศรษฐกิจของญี่ปุ่นนั้นก็จะเป็นเรื่องที่มาจากนโยบายของทางภาครัฐ โดยเฉพาะในเรื่องของการใช้จ่ายในประเทศซึ่งประชากรส่วนใหญ่มักจะเก็บออมเงินกันมาก ทำให้ธุรกิจประเภทการบริโภคไม่ค่อยมีการเติบโตมากนัก ขณะเดียวกันบริษัทก็มักจะไม่ลงทุนเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงต้องดูการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งมีแนวโน้มที่ธุรกิจจะมีการเติบโตขึ้น
นอกจากนี้ หากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงจากมาตรการของรัฐก็เป็นผลดีต่อธุรกิจส่งออก โดยมองว่าค่าเงินเยนในปีนี้จะอยู่ที่ 105 เยนต่อดอลลาร์ และที่ระดับ 110 เยนต่อดอลลาร์ในปีหน้า
