ไทยประกันชีวิตจับมือแบงก์กรุงศรีเปิดให้บริการรูดปรื๊ดจ่ายเบี้ยประกันผ่านตัวแทนบนมือถือ เชื่อธุรกิจประกันยังสดใสแม้เศรษฐกิจชะลอ พร้อมเล็งลงทุนกองอินฟราสตรักเจอร์ทรู และเพิ่มเพดานลงทุนต่างประเทศอีก ส่วนหุ้นไทยยังแกว่งต้องรอจังหวะลงทุนใหม่ ระบุเกณฑ์ลงทุนใหม่ของ คปภ.ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นมากขึ้น
นางวรางค์ ไชยวรรณ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจประกันชีวิตหลังจากนี้คงจะไม่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากลูกค้าของประกันชีวิตส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่มีเงินออมเหลือจากการใช้จ่ายเป็นหลัก ซึ่งถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวแต่คงไม่มีความเสียหาย และน่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจหลังๆ ที่ได้รับผลกระทบ
“ธุรกิจประกันชีวิตเท่าที่ดูยังไม่เห็นสัญญาณอะไร ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาอย่างช่วงที่หนักที่สุดตอนเลย์แมนล้ม ประกันชีวิตก็ได้รับผละกระทบแต่ก็ไม่มากเท่าธุรกิจอื่น”
ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีบริษัทยังคาดว่าเบี้ยรับรวมจะอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท โดยจะแบ่งเป็นเบี้ยจากช่องทางตัวแทน 80% ช่องทางธนาคาร 15% ช่องทางขายตรง 5% โดยการขยายตัวของช่องทางธนาคารซึ่งบริษัทเป็นพันธมิตรด้วยมีการเติบโตอย่างมากและมีเบี้ยรับรวมประมาณ 5.7 พันล้านบาท โดยเฉพาะกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีเบี้ยรับรวมในปีนี้สูงถึง 4 พันล้านบาท
โดยล่าสุดบริษัทได้ร่วมกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา และมาสเตอร์การ์ด ในการให้บริการชำระเบี้ยประกันผ่านบัตรเครดิตบนมือถือด้วยเทคโนโลยี mPOS ซึ่งลูกค้าไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม โดยคาดว่าจะมีตัวแทนที่สามารถให้บริการได้ภายในปีนี้ครบ 300 เครื่อง และปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 1,500 เครื่อง และจะส่งผลให้ยอดลูกค้าจ่ายเบี้ยประกันผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมีการจ่ายเบี้ยประกันผ่านบัตรเครดิตอยู่แล้วเฉลี่ยประมาณ 4 พันล้านบาท จากเบี้ยรับรวมที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท
นางวรางค์ กล่าวอีกว่า แผนการลงทุนช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ ยังคงแผนการลงทุนเดิม ส่วนแนวโน้มการลงทุนใหม่ต่อจากนี้บริษัทมีความสนใจที่จะลงทุนกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (อินฟราสตรักเจอร์ฟันด์) เช่นกัน โดยเฉพาะกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของบริษัททรู ซึ่งคาดว่าจะเข้าลงทุนประมาณ 1 พันล้านบาท ส่วนการลงทุนในหุ้นไทยที่จะมีการเพิ่มเพดานการลงทุนยังต้องรอดูจังหวะอีกครั้ง เพราะความผันผวนของตลาดหุ้นไทยมีมาก และช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการขายทำกำไรออกไปแล้วประมาณ 300 ล้านบาท
“บริษัทสนใจที่จะลงทุนในกองทุนประเภทนี้ และที่ผ่านมาก็มีการเข้ามาชี้แจงและดูรายละเอียดด้านการลงทุนอยู่ ซึ่งเรามีเม็ดเงินพร้อมที่จะลงทุนอยู่แล้ว แต่ถ้ากองทุนเลื่อนออกหรือยังไม่ตัดสินใจลงทุนคงจะนำไปลงทุนในเงินฝากระยะสั้นก่อน เพราะช่วงที่ผ่านมาตอนที่อัตราดอกเบี้ยสูงกว่านี้บริษัทได้มีการประมูลและลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไปแล้ว 4,000-5,000 ล้านบาท จึงทำให้บริษัทไม่ต้องกังวลมากนักหากผลตอบแทนที่ได้จากเงินฝากระยะสั้นจะน้อยเกินไป”
ส่วนการลงทุนหลังจากที่คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มีการแก้ไขหลักเกณฑ์ใหม่นั้น บริษัทคาดว่าจะมีการเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เพราะเกณฑ์ใหม่จะมีความยืดหยุ่นในการลงทุนต่างประเทศได้มากกว่า โดยมีแผนที่จะไปลงทุนในหุ้น หุ้นกู้ และสัญญาทางการเงินต่างประเทศเพิ่ม โดยจะเน้นลงทุนในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป เพราะเชื่อว่าการลงทุนในตลาดดังกล่าวจะช่วยสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนการทำการศึกษารายละเอียดเป็นหลัก
