กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ หรือ ABPIF พร้อมเทรดในวันที่ 27 กันยายนนี้ กสิกรไทยคาดผลตอบแทนปีแรกให้เงินปันผลประมาณ 7.55% บุคคลธรรมดาได้รับการยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย มั่นใจผลประกอบการธุรกิจโรงไฟฟ้าในกอง ABPIF มีรายได้มั่นคง ด้วยสัญญาระยะยาวจากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้ กฟผ.และบริษัทในนิคมฯ อมตะนคร
นายสุรเดช เกียรติธนากร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า กลุ่มอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ ผู้ผลิตไฟฟ้าชั้นนำของไทย ได้เปิดขายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ABPIF) ซึ่งเป็นกองทุนโครงสร้างพื้นฐานธุรกิจโรงไฟฟ้ากองแรกของไทย
โดยเปิดให้นักลงทุนจองซื้อตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งมียอดจองซื้อจากนักลงทุนเข้ามาสูงกว่าปริมาณที่กองทุนต้องการเสนอขายเกือบ 1.5 เท่า ทั้งนี้ ราคาจองซื้ออยู่ที่ 10.50 บาทต่อหน่วย และขนาดกองทุนอยู่ที่ 6,300 ล้านบาท กองทุน ABPIF ซึ่งมีธนาคารกสิกรไทยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการจำหน่ายหน่วยลงทุน และมีบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด เป็นผู้จัดการกองทุน จะเปิดซื้อขายหน่วยลงทุนวันแรกผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (First Day Trade) ในวันศุกร์ที่ 27 กันยายนนี้ โดยคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากศักยภาพกองทุนที่มีความน่าสนใจ
โดยกองทุน ABPIF จะลงทุนในสิทธิในการรับผลประโยชน์จากการประกอบกิจการไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 และ 2 ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี อายุการลงทุนประมาณ 9 ปีเศษ ซึ่งโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งเป็นโรงไฟฟ้าหลักที่มีสัญญาระยะยาวในการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนครจำนวนมาก
นายนพเดช กรรณสูต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน กลุ่มอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ กล่าวว่า ทางบริษัทขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความสนใจในการเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ABPIF) ครั้งนี้ ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาของโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งมีรายได้อยู่ที่ 8,350 ล้านบาท และในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 8,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% โดยที่มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าจัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 1,210 ล้านบาท สูงขึ้น 2% เมื่อเทียบกับ 1,180 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ บริษัทยังมีอัตราการเติบโตของรายได้จากการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้ารวมทั้งไอน้ำจากกระบวนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ กลุ่มบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ มีแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเป็นทั้งหมด 16 โรงภายในปี พ.ศ. 2562 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมของกลุ่มเป็น 2,000 เมกะวัตต์ บริษัทจึงดำเนินการระดมทุนส่วนหนึ่งผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำเงินลงทุนมาใช้ในการสร้างโรงไฟฟ้าตามแผนธุรกิจดังกล่าว
โดยในปี 2556 คาดว่ากลุ่มบริษัทจะมีรายได้เติบโตทั้งสิ้นกว่า 4,800 ล้านบาทไปอยู่ที่ 14,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าจัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตเป็น 2,040 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเช่นกัน
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทมีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 5 โรง ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี 3 โรง อมตะซิตี้ระยอง 1 โรง และที่ประเทศเวียดนาม 1 โรง มีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 613 เมกะวัตต์ โดยจำหน่ายไฟฟ้าให้ กฟผ. และจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำให้ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ มากกว่า 200 ราย ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าอีก 1 โรงที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง จะสร้างแล้วเสร็จภายในปีนี้ ทำให้ภายในสิ้นปีนี้กลุ่มบริษัทจะมีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการจำนวนทั้งสิ้น 6 โรง มีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 733 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทยังประสบความสำเร็จในการจัดหาเงินกู้จากธนาคารทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนรวมกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่อีก 4 แห่งในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรมบางกะดี จังหวัดปทุมธานี ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องและรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2558 โดยมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนประมาณ 0.9 เท่า และความสามารถในการชำระหนี้สูงถึง 1.4 เท่า
“กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ เป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจในภาวะที่ตลาดทุนมีความผันผวนและดอกเบี้ยตราสารหนี้อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากผลประกอบการธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งของกองทุนมีสัญญาระยะยาวในการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าภาครัฐและเอกชนอย่างชัดเจน จึงเป็นกองทุนที่มีความมั่นคงด้านผลการดำเนินงานค่อนข้างสูง ขณะเดียวกัน เมื่อคำนวณเปรียบเทียบผลตอบแทน พบว่าในปีแรกกองทุนดังกล่าวจะให้เงินปันผลจากการลงทุนประมาณ 7.55% และบุคคลธรรมดาได้รับยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย ในขณะที่ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุใกล้เคียงกัน (Duration) จะให้ผลตอบแทนก่อนการเสียภาษีอยู่ที่ประมาณ 3.7% และไม่ได้รับการยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย จึงมั่นใจว่ากองทุน ABPIF จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากในขณะนี้”