บลจ.กสิกรไทยคลอดกองทุนรวม “โครงสร้างพื้นฐาน โรงไฟฟ้าอมตะ บี.กรีม เพาเวอร์” หรือ ABPIF ชูผลตอบแทนปีแรก 15-15.5% แบ่งเป็น 7.2-7.5% เป็นผลตอบแทนเงินปันผล และ 8% เป็นเงินลงทุนที่ทยอยจ่ายคืนแก่ผู้ถือหน่วยด้วยการลดทุน เน้นลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 และ 2 ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี มูลค่าโครงการ 6,300-6,600 ล้านบาท อายุโครงการ 9 ปีเศษ เริ่มไอพีโอวันที่ 14-15 ก.ย.นี้
นายจงรัก รัตนเพียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โรงไฟฟ้าอมตะ บี.กรีม เพาเวอร์ (ABPIF) ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนแรกของเมืองไทย โดยกองทุนดังกล่าวมีมูลค่าโครงการ 6,300-6,600 ล้านบาท ซึ่งจะมีอายุโครงการประมาณ 9 ปีเศษ โดยจะเริ่มไอพีโอวันที่ 14-15 กันยายนนี้ และจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในวันที่ 9-13 กันยายนนี้ โดยราคาเสนอขายเบื้องต้น 10.50-11 บาทต่อหน่วย
โดยกองทุนดังกล่าวถือเป็นทางเลือกของนักลงทุนที่ดีต่อสภาวะตลาดในปัจจุบันที่มีความผันผวนสูง เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว และต้องการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ โดยนักลงทุนจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทน 2 ส่วน โดยส่วนแรกจ่ายเป็นเงินปันผล และส่วนที่ 2 เป็นการทยอยจ่ายเงินลงทุนด้วยการลดทุน โดยผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาจะได้รับการยกเว้นภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินปันผล
“ในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทเตรียมที่จะออกกองทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานและกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) รวมมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกองทุน REITs ของอิมแพค เมืองทองธานี ประมาณ 18,000-20,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนดังกล่าวเราไม่ได้เป็นผู้จัดการกองทุนแต่เป็นเพียงผู้ดูแลทรัพย์สิน กองทุนอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 2-3 กองทุน ขนาดกองทุนละ 3,500 ล้านบาท และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน 2 กอง คือ กองทุนอินฟราสตรักเจอร์ และล่าสุดกองทุนอินฟราสตรักเจอร์ของ บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ รวมมูลค่า 12,000-13,000 ล้านบาท” นายจงรักกล่าว
ขณะที่ นายสุรเดช เกียรติธนากร ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในปีแรกจะอยู่ที่ประมาณ 15-15.5% แบ่งเป็นประมาณ 7.2-7.5% เป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล และประมาณ 8% เป็นเงินลงทุนที่ทยอยจ่ายคืนแก่ผู้ถือหน่วยด้วยการลดทุน ซึ่งหลังจากปีแรกแล้วเชื่อว่าผลตอบแทนในปีถัดไปก็ไม่น่าจะแตกต่างจากปีแรก หรืออาจจะมีโอกาสทำได้มากกว่า เนื่องกองทุนดังกล่าวจะลงทุนสิทธิในการรับผลประโยชน์จากการประกอบกิจการโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 และ อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 2 ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี และคาดว่าจะนำกองทุนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ประมาณวันที่ 27 กันยายนนี้
“ปัจจุบันบริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้ว 5 โรง อยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี อมตะซิตี้ระยอง 1 โรง และที่ประเทศเวียดนาม 1 โรง มีกำลังผลิตไฟฟ้า 613 เมกะวัตต์ โดยจำหน่ายไฟฟ้า กฟผ. และจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ กว่า 200 ราย รวมถึงบริษัทผลิตไฟฟ้าที่ประเทศเวียดนาม โดยอีก 1 โรงที่ตั้งในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยองจะสร้างแล้วเสร็จภายในปีนี้ ทำให้ภายในสิ้นปีนี้ อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จะมีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการ 6 โรง มีกำลังไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 733 เมกะวัตต์” นายสุรเดชกล่าว
ด้านนางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SP) กล่าวว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โรงไฟฟ้าอมตะ บี.กรีม เพาเวอร์ถือว่าเป็นกองทุนโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ารายแรกในไทย ซึ่งกองทุนดังกล่าวจะลงทุนสิทธิในการรับผลประโยชน์จากการประกอบกิจการโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 และอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 2 ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร โดยโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งดังกล่าวมีสัญญาขายไฟให้แก่ กฟผ.ในระยะยาว และขายไฟให้นิคมอุตสาหกรรมจำนวนมาก ส่งผลให้รายได้ที่จะเข้ามามีความมั่นคง ทั้งนี้ ถ้าย้อนหลังไป 4 ปี โรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งทำกำไรได้ทุกปีเฉลี่ย 550-600 ล้านบาท EBITDA อยู่ที่ 1,300 ล้านบาทต่อปี และรายได้ประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้แล้วบริษัทเล็งเห็นความจำเป็นของการเพิ่มการผลิตไฟฟ้ารองรับดีมานด์ของลูกค้าภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการใช้ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อก้าวเข้าสู่ AEC ในปี 2558 ทั้งนี้ บริษัทได้วางแผนสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มทั้งหมดเป็น 16 โรงภายในปี 2562 จากปีนี้ และจะทำให้กำลังการผลิตรวมของกลุ่มอยู่ที่ 2,000 เมกะวัตต์ จากสิ้นปีนี้ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 733 เมกะวัตต์ โดยจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นราว 70,000 ล้านบาท