โดยสินีรัตน์ สิริอิทธิวงศ์
ฝ่ายวิจัยและพัฒนา
สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการอัดฉีดเม็ดเงินปริมาณมหาศาลเข้าสู่ระบบการเงินของตนเอง ภายใต้ชื่อ “มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ: Quantitative Easing” หรือมาตรการ QE ที่นักลงทุนคุ้นเคยเป็นอย่างดีอยู่แล้วนั้น ในช่วงเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา เม็ดเงินจากมาตรการดังกล่าวได้ไหลเข้า (Inflow) สู่ตลาดการเงินของประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มของประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) เช่นประเทศไทย ที่ได้รับอานิสงส์จากการไหลเข้าของกระแสเงินทุนด้วยเช่นกัน โดยการไหลเข้าของเงินทุนอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีผลทำให้เงินบาทแข็งค่าจากระดับ 36 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ในช่วงปี 2552 มาอยู่ที่ระดับ 28.70 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ในเดือน เม.ย. 2556 หรือแข็งค่าไปกว่า 20% ในช่วงเวลาเพียง 4 ปี
ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 400 จุดในช่วงต้นปี 2552 มาอยู่ที่ระดับ 1,600 จุด ในเดือน พ.ค. 2556 หรือเพิ่มสูงขึ้น 300% เช่นเดียวกับอัตราผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรรัฐบาลไทยที่ปรับตัวลดลง (ราคาพันธบัตรปรับตัวเพิ่มขึ้น) โดย Yield ของพันธบัตรอายุ 5 และ 10 ปี ปรับตัวลดลงจากระดับ 5.7% และ 6.2% ในช่วงกลางปี 2551 มาอยู่ที่ระดับ 3% และ 3.3% ตามลำดับ ในเดือน พ.ค. 2556 ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การไหลเข้าของเม็ดเงินต่างชาติจากมาตรการอัดฉีดเงินของสหรัฐฯ มีผลทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดการเงินของไทยปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างมาก
ทั้งนี้ ทิศทางการเคลื่อนย้ายของกระแสเงินในช่วงที่ผ่านมา อยู่บนพื้นฐานของหลักการลงทุน ที่ผู้เป็นเจ้าของเงินลงทุนย่อมจะแสวงหาผลตอบแทนในระดับที่สูงกว่า ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือผลตอบแทนจากพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ในช่วงกลางปี 2551 ซึ่งอยู่ที่ 3.7% ขณะที่ผลตอบแทนจากพันธบัตรไทยอยู่ที่ 6.2% ส่วนต่างที่ดีกว่าประมาณ 2.5% นี้ มีผลดึงดูดให้เกิดการไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยมากขึ้น นอกจากนี้แล้ว การเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจากต่างชาติ จำเป็นต้องเปลี่ยนจากเงินตราสกุลต่างประเทศให้อยู่ในรูปของเงินสกุลบาทเสียก่อน ดังนั้น เมื่อมีความต้องการแลกซื้อเงินบาทมากขึ้น เงินบาทจึงแข็งค่าขึ้นตามไปด้วยในที่สุด
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2556 เป็นต้นมา สถานการณ์ของเงินทุนที่เคยไหลเข้าต่อเนื่องกำลังเปลี่ยนทิศไปสู่การไหลออก (Outflow) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ออกมาส่งสัญญาณว่าจะเริ่มลดขนาดของมาตรการ QE และอาจยุติมาตรการดังกล่าว หากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ สามารถฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวที่ออกมาในช่วงหลัง เริ่มแสดงให้เห็นสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นว่า Fed น่าจะต้องทำการลดขนาดรวมไปถึงการยุติมาตรการ QE อย่างถาวรในช่วงระยะเวลาอีกไม่ไกลนับจากนี้ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อสภาพคล่องและเม็ดเงินที่เคยหมุนเวียนอยู่ในระบบการเงินของโลกให้ค่อยๆ หายไป และภาวะการลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ของหลายๆ ประเทศอาจจะไม่คึกคักเหมือนเคย
ความกังวลเกี่ยวกับมาตรการ QE ในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลในเชิงลบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดการเงินของไทย โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงกว่า 300 จุด ไปอยู่ที่ระดับ 1,300 ขณะที่ Yield ของพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น (ราคาพันบัตรลดลง) 1% จาก 3.3% ไปอยู่ที่ 4.3% พร้อมกับการไหลออกชองเงินทุนต่างชาติ กว่า 130,000 ล้านบาท (จากตลาดหุ้น 40,000 ล้านบาท และจากตลาดตราสารหนี้ 90,000 ล้านบาท) ในเดือนสิงหาคมเพียงเดือนเดียว ซึ่งการไหลออกดังกล่าวยังมีผลทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงไปกว่า 2.8% ในช่วงเวลาเพียง 1 เดือน
ถึงแม้ว่าการลดขนาดของมาตรการ QE ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด และทิศทางของกระแสเงินทุนต่างชาติจะยังคงไหลออกจากตลาดการเงินของไทยอย่างต่อเนื่องอีกหรือไม่ แต่หากนักลงทุนมีความเข้าใจถึงสาเหตุและผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายเงินลงทุน และเตรียมพร้อมหาทางป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตไว้อยู่เสมอ ก็จะมีส่วนช่วยให้ได้รับผลกระทบไม่มากนัก หากเกิดการเคลื่อนย้ายของเม็ดเงินลงทุนอีกในอนาคต