บลจ.กรุงศรีเผยครึ่งปีแรก AUM เติบโต 14% ตั้งเป้าสิ้นปีแตะ 1.85 แสนล้านบาท พร้อมออกกองทุนผสม “KFMIX80-20” สร้างยิลด์สม่ำเสมอ มองเศรษฐกิจไทยชะลอแต่ยังเติบโตดี แนะดัชนีหุ้นเป็นจังหวะน่าลงทุน
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปี 2556 ที่ผ่านมาบริษัทมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) เพิ่มขึ้น 14% อยู่ที่ 178,000 ล้านบาท โดยกองทุนหุ้นมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 36% กองทุนตราสารหนี้เติบโต 15% กองทุนส่วนบุคคลเติบโต 6% และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเติบโต 4% รวมทั้งมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 17% โดยในสิ้นปีนี้ตั้งเป้าการเติบโต AUM อยู่ที่ 185,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนที่ผ่านมาบริษัทเน้นในเรื่องการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่งคั่งและลดการขาดทุนให้น้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะออกกองทุนที่มีความหลากหลายเหมาะสมกับภาวะตลาด ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีนี้ก็ยังเน้นออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นและมีความเสี่ยงต่ำ
โดยล่าสุด บลจ.กรุงศรีได้ออกกองทุนเปิด กรุงศรีมิกซ์ 80-20 (KFMIX80-20) ซึ่งเป็นกองทุนประเภทผสมที่มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ 80% และหุ้น 20% เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่สามารถรับความผันผวนในระยะสั้นและความเสี่ยงได้ในระดับสูงเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว กองทุนมีการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าปีละ 2 ครั้ง เปิดขาย IPO 3-10 กันยายน 2556
“เนื่องจากไม่มีสินทรัพย์ใดที่ให้ผลตอบแทนสูงเสมอ ดังนั้นการลงทุนจึงต้องจัดสรรการลงทุน เพราะผลตอบแทนที่ดีขึ้นอยู่กับการจัดสรรลงทุนและต้องเป็นการลงทุนในระยะยาว กองทุนนี้จึงมีการปรับพอร์ตการลงทุนในทุกๆ เดือน ซึ่งจากการทดสอบกองทุนสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงสุดที่เกือบ 9%”นายฉัตรพีกล่าว
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมในช่วงครึ่งปีหลังการลงทุนยังได้รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปที่ฟื้นตัวขึ้น คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเติบโตที่ระดับ 3.1% และระดับ 3.8% ในปีหน้า โดยเม็ดเงินลงทุนเริ่มไหลเข้าตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว ส่งผลให้ตลาดหุ้นของเอเชียเริ่มมีการพักฐานลงมาและสะท้อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง
สำหรับเศรษฐกิจไทยคาดว่าในปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ 3.5% ลดลงจากที่คาดการณ์เอาไว้ช่วงต้นปีที่ 7% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกในช่วงไตรมาสที่ 3 มีการฟื้นตัวระดับต่ำ การส่งออกและการบริโภคในประเทศที่ลดลง อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีการชะลอตัวลงแต่การลงทุนจากต่างประเทศยังมีสูง รวมทั้งการท่องเที่ยวยังเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตอยู่ ส่งผลให้การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนคาดว่าอยู่ที่ระดับ 12% ระดับราคาหุ้น P/E ที่ประมาณ 12 เท่าซึ่งถือเป็นระดับที่ถูกและน่าลงทุนในช่วงนี้ มองดัชนีหุ้นไทยช่วงที่เหลือปีนี้ที่ระดับ 1,200-1,650 จุด
“เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตที่ชะลอตัวลงมาจากก่อนหน้านี้ที่เติบโตสูง ทำให้ตลาดหุ้นเริ่มชะลอตัวลงมีการพักฐาน ซึ่งดัชนีหุ้นในระดับปัจจุบันอาจจะปรับตัวลดลงได้อีกแต่ก็ถือว่าเป็นระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคซึ่งน่าเข้าลงทุนในระยะยาว” นายประภาสกล่าว