บิ๊กประกันชีวิต “สาระ ล่ำซำ” มั่นใจเศรษฐกิจชะลอไม่กระทบธุรกิจประกันชีวิต ทั้งปียังโตตามเป้า 17.3% เหตุการถือครองกรมธรรม์ยังต่ำ และคนไทยเริ่มเข้าใจการทำประกันชีวิตมากขึ้น ระบุประกันโรคร้ายแรง-สุขภาพมาแรง ส่วนเมืองไทยประกันชีวิตครึ่งปีกวาดเบี้ยรับรวมแล้วกว่า 3 หมื่นล้านบาท
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจประกันชีวิตของประเทศไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้น่าจะยังเติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ คือมีเบี้ยรับรวมทั้งระบบเพิ่มขึ้น 17.3% หลังจากในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาการเติบโตของเบี้ยรับรวมสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้คือ 19% โดยปัจจัยที่ส่งผลดีต่อการเติบโตดังกล่าวจะมาจากสัดส่วนการถือครองกรมธรรม์ของคนไทยที่อยู่ในระดับต่ำ และความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญในการทำประกันชีวิตมากขึ้น
“การชะลอตัวของเศรษฐกิจหลังจากนี้เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อจีดีพีของไทยอยู่ที่ 3.4-3.5% เท่านั้น ทำให้ยังมีช่องว่างในการเติบโตอยู่ ซึ่งคนไทยเริ่มหันมาให้ความสนใจมากขึ้น โดยจะเห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของกรมธรรม์ที่เน้นด้านความคุ้มครอง และแนวโน้มสินค้าประเภทนี้จะได้รับความนิยมขึ้นอีก โดยเฉพาะสินค้าที่ให้ความคุ้มครองโรคร้ายแรง และการประกันสุขภาพที่ได้รับความสนใจมากขึ้น”
ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมายังคงเติบโตในระดับดีต่อเนื่อง โดยมีเบี้ยประกันรับรวมเติบโตถึง 26% หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 30,000 กว่าล้านบาท โดยเป็นอัตราเบี้ยใหม่โตสูงถึง 35% คิดเป็นวงเงินประมาณ 13,175 ล้านบาท เบี้ยต่ออายุโตประมาณ 20% ขณะที่การเติบโตของช่องทางการขายยังคงเติบโตทุกช่องทาง แบ่งเป็นช่องทางตัวแทนเติบโตขึ้น 18-19% ช่องทางธนาคารเติบโต30% และช่องทางการขายตรงเติบโตขึ้น 20%
นายสาระกล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิในการให้บริการ และตอบโจทย์ลูกค้าตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ล่าสุดบริษัทได้พัฒนาการบริการเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าวตามแนวทาง Multi Distribution Channels ทำให้บริษัทพัฒนาทุกจุด Touch Point เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายตามไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน
ไม่ว่าจะเป็นศูนย์บริการลูกค้า Call Center หรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ รวมถึงการสร้างสรรค์กิจกรรมส่งถึงลูกค้าผ่านบริษัท Smill Club อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการบริการและการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า
“ความตั้งใจของบริษัทคือ การเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้บริการของลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการผสมผสานรูปแบบการให้บริการเข้ากับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิตอล เช่น การสื่อสารผ่านสังคมออนไลน์ต่างๆ พร้อมช่องทางใหม่ๆ” นายสาระกล่าว
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจประกันชีวิตของประเทศไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้น่าจะยังเติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ คือมีเบี้ยรับรวมทั้งระบบเพิ่มขึ้น 17.3% หลังจากในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาการเติบโตของเบี้ยรับรวมสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้คือ 19% โดยปัจจัยที่ส่งผลดีต่อการเติบโตดังกล่าวจะมาจากสัดส่วนการถือครองกรมธรรม์ของคนไทยที่อยู่ในระดับต่ำ และความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญในการทำประกันชีวิตมากขึ้น
“การชะลอตัวของเศรษฐกิจหลังจากนี้เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อจีดีพีของไทยอยู่ที่ 3.4-3.5% เท่านั้น ทำให้ยังมีช่องว่างในการเติบโตอยู่ ซึ่งคนไทยเริ่มหันมาให้ความสนใจมากขึ้น โดยจะเห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของกรมธรรม์ที่เน้นด้านความคุ้มครอง และแนวโน้มสินค้าประเภทนี้จะได้รับความนิยมขึ้นอีก โดยเฉพาะสินค้าที่ให้ความคุ้มครองโรคร้ายแรง และการประกันสุขภาพที่ได้รับความสนใจมากขึ้น”
ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมายังคงเติบโตในระดับดีต่อเนื่อง โดยมีเบี้ยประกันรับรวมเติบโตถึง 26% หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 30,000 กว่าล้านบาท โดยเป็นอัตราเบี้ยใหม่โตสูงถึง 35% คิดเป็นวงเงินประมาณ 13,175 ล้านบาท เบี้ยต่ออายุโตประมาณ 20% ขณะที่การเติบโตของช่องทางการขายยังคงเติบโตทุกช่องทาง แบ่งเป็นช่องทางตัวแทนเติบโตขึ้น 18-19% ช่องทางธนาคารเติบโต30% และช่องทางการขายตรงเติบโตขึ้น 20%
นายสาระกล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิในการให้บริการ และตอบโจทย์ลูกค้าตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ล่าสุดบริษัทได้พัฒนาการบริการเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าวตามแนวทาง Multi Distribution Channels ทำให้บริษัทพัฒนาทุกจุด Touch Point เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายตามไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน
ไม่ว่าจะเป็นศูนย์บริการลูกค้า Call Center หรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ รวมถึงการสร้างสรรค์กิจกรรมส่งถึงลูกค้าผ่านบริษัท Smill Club อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการบริการและการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า
“ความตั้งใจของบริษัทคือ การเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้บริการของลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการผสมผสานรูปแบบการให้บริการเข้ากับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิตอล เช่น การสื่อสารผ่านสังคมออนไลน์ต่างๆ พร้อมช่องทางใหม่ๆ” นายสาระกล่าว
