ซีอีโอใหม่ไอเอ็นจีลั่น 5 ปีปั๊มเบี้ยปีแรกติดท็อปไฟว์ในอุตสาหกรรม ยันตระกูลลีไม่ทิ้งธุรกิจประกันในเอเชีย หลังเสริมบุคลากรเต็มที่ และพร้อมเพิ่มทุนหากธุรกิจเติบโตมากขึ้น ระบุเตรียมเปลี่ยนชื่อหากพร้อมมากกว่านี้ มั่นใจธุรกิจไม่สะดุดและไม่กระทบลูกค้าเก่าแน่นอน
นายไมค์ แพล็กซ์ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอเอ็นจี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเข้าซื้อธุรกิจประกันจากบริษัทไอเอ็นจีของกลุ่มบริษัท แปซิฟิค เซ็นจูรี่ กรุ๊ป (พีซีจี) ของริชาร์ด ลี จะมุ่งเน้นการขยายงานในภูมิภาคเอเชียโดยไม่ส่งผลกระทบต่อลูกค้าเก่า ซึ่งจะยังคงได้สิทธิประโยชน์และความคุ้มครองตามกรมธรรม์เดิมที่ทำไว้ ส่วนการทำตลาดต่อจากนี้บริษัทตั้งเป้าการทำเบี้ยประกันปีแรกให้ขึ้นไปติด 1 ใน 5 ของอุตสาหกรรมภายใน 5 ปี
“กลุ่มพีซีจีมุ่งมั่นที่จะรุกธุรกิจประกันในเอเชีย ซึ่งลูกค้าน่าจะได้ผลดีจากการที่เจ้าของใหม่เป็นกลุ่มบริษัทในเอเชียและจะไม่ได้รับผลกระทบเหมือนบริษัทในฝั่งยุโรปและอเมริกา ซึ่งเจ้าของอย่างริชาร์ด ลี (ลูกชาย ลี กาชิง มมาเศรษฐีเอเชีย) เองพร้อมที่จะขยายงานอย่างเต็มที่ ซึ่งจากแผนที่จะต้องขึ้นไปติด 1 ใน 5 ของการทำเบี้ยใหม่นั้น เราเองอาจต้องมีการเพิ่มทุน และเชื่อว่าบริษัทแม่ก็พร้อมเรื่องการเงินอยู่แล้ว ส่วนความกังวลเรื่องความไม่แน่นอนในการเข้าบริหารธุรกิจของพีซีจี เชื่อว่าหากดูจากผู้บริหารที่เข้ามาร่วมงานในปัจจุบันน่าจะบอกถึงแนวทางการขยายงานได้เป็นอย่างดี เพราะทุกคนมีประสบการณ์และมีความชำนาญในด้านนี้อยู่สูง” นายไมค์กล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับแผนระยะสั้น คือภายใน 6 เดือนนี้ต้องเร่งทำความเข้าใจกับพนักงานถึงทิศทาง และแนวทางในการดำเนินธุรกิจจากนี้ต่อไปในอนาคต ส่วนเรื่องแบรนด์ใหม่นั้นคาดว่าจะได้ข้อสรุปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ และช่วงของการเปลี่ยนแบรนด์ การดำเนินงานของบริษัทจะไม่สะดุดแน่นอน
นายไมค์กล่าวอีกว่า สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารทหารไทยกับบริษัทหลังจากนี้คงจะเหมือนเดิม ถึงแม้บริษัทไม่ได้ถือหุ้นในธนาคารทหารไทยหมือนกรณีของบริษัทไอเอ็นจีในอดีต แต่เชื่อว่าข้อตกลงในการขายสินค้าผ่านสาขาแบงก์ยังคงเป็นไปตามปกติ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนหาพันธมิตรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเพื่อขยายธุรกิจ โดยล่าสุดบริษัทได้ร่วมมือกับบริษัทกรุงไทย ลีสซิ่ง จำกัด (KTBL) บริษัทในเครือธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในการทำประกันสินเชื่อ ซึ่งหลังจากนี้ความร่วมมือในรูปแบบนี้น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีก
ส่วนผลการดำเนินงาน ปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าทั้งสิ้น 375,035 ราย ตัวแทนประมาณ 3,400 ราย ขายผ่านธนาคารทหารไทย 460 สาขาทั่วประเทศ ไตรมาสแรกปีนี้เบี้ยโต 2,406 ล้านบาท แบ่งเป็น เบี้ยผ่านตัวแทน 941 ล้านบาท เบี้ยผ่านแบงก์แอสชัวรันซ์ 1,274 ล้านบาท และเบี้ยผ่านช่องทางโทรศัพท์ 190 ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานหลังจากนี้ บริษัทเน้นกลยุทธ์สร้างระดับความสัมพันธ์กับลูกค้าเพิ่มมากขึ้น และยังคงมุ่งมั่นให้บริการและพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในยุคดิจิตอล โดยบริษัทจะพัฒนาความสัมพันธ์และสร้างความรู้สึกภักดีต่อบริษัทในหมู่ลูกค้าโดยผ่านกิจกรรมและโครงการต่างๆ ของบริษัท
นอกจากนี้ บริษัทยังเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ทุกช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัท และให้ความสำคัญต่อบุคลากรฝ่ายขายเนื่องจากเป็นหลักสำคัญในการสร้างความเติบโตของบริษัท รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งกับพันธมิตร
สุดท้ายจะเป็นการขยายงานไปสู่ธุรกิจใหม่ โดยการพัฒนาสินค้าให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากที่สุด โดยมองว่าปัจจัยด้านประชากรสูงอายุที่เพิ่มจำนวนขึ้น ความมั่งคั่งในภูมิภาค ความคาดหวังที่สูงขึ้นในเรื่องของการรักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้น จะทำให้กลุ่มประกันสุขภาพและประกันเพื่อการเกษียณอายุกลายเป็นเป้าหมายที่บริษัทประกันทั้งหลายจะเข้ามาชิงส่วนแบ่ง โดยบริษัทมีแนวโน้มจะเข้าไปลงทุนในตลาดที่กำลังจะเกิดใหม่เหล่านี้เช่นกัน
นายไมค์ แพล็กซ์ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอเอ็นจี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเข้าซื้อธุรกิจประกันจากบริษัทไอเอ็นจีของกลุ่มบริษัท แปซิฟิค เซ็นจูรี่ กรุ๊ป (พีซีจี) ของริชาร์ด ลี จะมุ่งเน้นการขยายงานในภูมิภาคเอเชียโดยไม่ส่งผลกระทบต่อลูกค้าเก่า ซึ่งจะยังคงได้สิทธิประโยชน์และความคุ้มครองตามกรมธรรม์เดิมที่ทำไว้ ส่วนการทำตลาดต่อจากนี้บริษัทตั้งเป้าการทำเบี้ยประกันปีแรกให้ขึ้นไปติด 1 ใน 5 ของอุตสาหกรรมภายใน 5 ปี
“กลุ่มพีซีจีมุ่งมั่นที่จะรุกธุรกิจประกันในเอเชีย ซึ่งลูกค้าน่าจะได้ผลดีจากการที่เจ้าของใหม่เป็นกลุ่มบริษัทในเอเชียและจะไม่ได้รับผลกระทบเหมือนบริษัทในฝั่งยุโรปและอเมริกา ซึ่งเจ้าของอย่างริชาร์ด ลี (ลูกชาย ลี กาชิง มมาเศรษฐีเอเชีย) เองพร้อมที่จะขยายงานอย่างเต็มที่ ซึ่งจากแผนที่จะต้องขึ้นไปติด 1 ใน 5 ของการทำเบี้ยใหม่นั้น เราเองอาจต้องมีการเพิ่มทุน และเชื่อว่าบริษัทแม่ก็พร้อมเรื่องการเงินอยู่แล้ว ส่วนความกังวลเรื่องความไม่แน่นอนในการเข้าบริหารธุรกิจของพีซีจี เชื่อว่าหากดูจากผู้บริหารที่เข้ามาร่วมงานในปัจจุบันน่าจะบอกถึงแนวทางการขยายงานได้เป็นอย่างดี เพราะทุกคนมีประสบการณ์และมีความชำนาญในด้านนี้อยู่สูง” นายไมค์กล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับแผนระยะสั้น คือภายใน 6 เดือนนี้ต้องเร่งทำความเข้าใจกับพนักงานถึงทิศทาง และแนวทางในการดำเนินธุรกิจจากนี้ต่อไปในอนาคต ส่วนเรื่องแบรนด์ใหม่นั้นคาดว่าจะได้ข้อสรุปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ และช่วงของการเปลี่ยนแบรนด์ การดำเนินงานของบริษัทจะไม่สะดุดแน่นอน
นายไมค์กล่าวอีกว่า สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารทหารไทยกับบริษัทหลังจากนี้คงจะเหมือนเดิม ถึงแม้บริษัทไม่ได้ถือหุ้นในธนาคารทหารไทยหมือนกรณีของบริษัทไอเอ็นจีในอดีต แต่เชื่อว่าข้อตกลงในการขายสินค้าผ่านสาขาแบงก์ยังคงเป็นไปตามปกติ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนหาพันธมิตรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเพื่อขยายธุรกิจ โดยล่าสุดบริษัทได้ร่วมมือกับบริษัทกรุงไทย ลีสซิ่ง จำกัด (KTBL) บริษัทในเครือธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในการทำประกันสินเชื่อ ซึ่งหลังจากนี้ความร่วมมือในรูปแบบนี้น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีก
ส่วนผลการดำเนินงาน ปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าทั้งสิ้น 375,035 ราย ตัวแทนประมาณ 3,400 ราย ขายผ่านธนาคารทหารไทย 460 สาขาทั่วประเทศ ไตรมาสแรกปีนี้เบี้ยโต 2,406 ล้านบาท แบ่งเป็น เบี้ยผ่านตัวแทน 941 ล้านบาท เบี้ยผ่านแบงก์แอสชัวรันซ์ 1,274 ล้านบาท และเบี้ยผ่านช่องทางโทรศัพท์ 190 ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานหลังจากนี้ บริษัทเน้นกลยุทธ์สร้างระดับความสัมพันธ์กับลูกค้าเพิ่มมากขึ้น และยังคงมุ่งมั่นให้บริการและพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในยุคดิจิตอล โดยบริษัทจะพัฒนาความสัมพันธ์และสร้างความรู้สึกภักดีต่อบริษัทในหมู่ลูกค้าโดยผ่านกิจกรรมและโครงการต่างๆ ของบริษัท
นอกจากนี้ บริษัทยังเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ทุกช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัท และให้ความสำคัญต่อบุคลากรฝ่ายขายเนื่องจากเป็นหลักสำคัญในการสร้างความเติบโตของบริษัท รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งกับพันธมิตร
สุดท้ายจะเป็นการขยายงานไปสู่ธุรกิจใหม่ โดยการพัฒนาสินค้าให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากที่สุด โดยมองว่าปัจจัยด้านประชากรสูงอายุที่เพิ่มจำนวนขึ้น ความมั่งคั่งในภูมิภาค ความคาดหวังที่สูงขึ้นในเรื่องของการรักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้น จะทำให้กลุ่มประกันสุขภาพและประกันเพื่อการเกษียณอายุกลายเป็นเป้าหมายที่บริษัทประกันทั้งหลายจะเข้ามาชิงส่วนแบ่ง โดยบริษัทมีแนวโน้มจะเข้าไปลงทุนในตลาดที่กำลังจะเกิดใหม่เหล่านี้เช่นกัน