xs
xsm
sm
md
lg

นักลงทุนหนีบอนด์ซบหุ้น เหตุผลตอบแทนไม่น่าสนใจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.กรุงไทยเผยกองทุนหุ้นได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นหลังกองทุนตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนน้อย เหตุหลายฝ่ายประเมินว่า กนง.อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมคงกรอบหุ้นไทยไว้ที่ 1,750 จุดเช่นเดิม

นายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงต่อเนื่อง เป็นผลจากปัจจัยต่างประเทศหลังจากตัวเลขเศรษฐกิจญี่ปุ่นออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ ทำให้นักลงทุนกังวลว่ามาตรการที่ญี่ปุ่นใช้ดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ผล แต่ที่ผ่านมาตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นแรง 40% พอมีข่าวไม่เป็นไปตามคาดจึงมีแรงเทขายทำกำไรออกมา นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงมีความกังวลเฟดจะถอนมาตรการคิวอีอีกด้วย สำหรับตลาดหุ้นไทยมองว่าปรับตัวลงตามต่างประเทศ แต่ด้วยปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยไม่เปลี่ยน ดังนั้นการปรับตัวลดลงยังถือเป็นจังหวะในการเข้าทยอยสะสมหุ้นได้

โดยช่วงนี้นักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้เริ่มมีการปรับเปลี่ยนการลงทุนไปยังตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลตอบแทนการลงทุนในตลาดตราสารหนี้เริ่มไม่น่าสนใจ ขณะเดียวกัน หลายฝ่ายประเมินว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ กนง.จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% โดยการประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในไตรมาสแรกขยายตัว 5.3% เติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์กันไว้ ซึ่งหลายฝ่ายประเมินว่าการปรับลดดอกเบี้ยในครั้งนี้จะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ได้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับหุ้น นักลงทุนจึงปรับการลงทุนหันเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดย บลจ.กรุงไทยยังคงมองกรอบหุ้นไทยอยู่ที่ 1,750 จุดเช่นเดิม โดยปัจจัยสนับสนุนได้แก่ พื้นฐานเศรษฐกิจที่มั่นคงแข็งแกร่งจากการบริโภคภายในประเทศ ขณะที่ภาครัฐสนับสนุนให้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนปัญหาเรื่องของการเมืองเรามองว่ายังเป็นปัจจัยลบซึ่งนักลงทุนยังคงต้องระวังต่อจากนี้ ในส่วนของเศรษฐกิจโลกนั้นก็ยังคงต้องติดตามต่อด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การที่หลายประเทศใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินส่งผลให้เงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่นภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้ตลาดหุ้นในทุกประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งมีเงินทุนไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเป็นจำนวนมากแม้จะไม่มากอย่างที่คาดการณ์กันไว้แต่ก็ยังมีนักลงทุนต่างชาติจำนวนมากที่กำลังรอจังหวะเข้ามาลงทุน ซึ่งแน่นอนว่าจังหวะของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะถือยาวเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่ตั้งเป้าไว้ บางคนอาจจะพอใจกับผลตอบแทนที่ได้ก็หาจังหวะออกจากตลาดหุ้นไทย สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นเรามองว่าถึงจุด bottom แล้ว ต่อจากนี้คงต้องดูว่าเฟดจะดำเนินนโยบายอย่างไรต่อ ขณะเดียวกัน ปัญหายุโรปก็ยังคงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวพอสมควรเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีหลายประเทศทำให้การจัดการนั้นยากกว่าสหรัฐฯ และเศรษฐกิจคงต้องใช้เวลานานกว่าด้วยเช่นกัน

“ส่วนใหญ่เทรนด์การลงทุนในขณะนี้จะให้ความสนใจเป็นราย sector อาจจะให้ความสนใจกลุ่มแบงก์ กลุ่มพลังงาน หรือกลุ่มอื่นที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายภาครัฐ ซึ่งก็ต้องมาคลี่ดูเป็นรายบริษัทว่าแต่ละบริษัทเป็นอย่างไร ขณะเดียวกันก็ต้องดูว่านักลงทุนที่ต้องการลงทุนนั้นรับความเสี่ยงและความผันผวนได้มากน้อยแค่ไหน”

นายวีระ กล่าวต่อด้วยว่า กองทุนหุ้นของ บลจ.กรุงไทยที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอยู่ในขณะนี้คือกองทุนเปิดกรุงไทย ซีเล็คทีฟ อิควิตี้ ฟันด์ (KTSE) ซึ่งมีผลการดำเนินงานค่อนข้างดี โดย ณ วันที่ 30 เมษายน 2556 ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 40.03% ส่งผลให้มีนักลงทุนจำนวนมากสนใจเข้ามาลงทุน ขณะที่กองทุนเปิดกรุงไทย ซีเล็คทีฟ อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (KTSE-RMF) ก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนด้วยเช่นกันเนื่องจากผลการดำเนินงานนั้นค่อนข้างใกล้เคียงกัน สำหรับธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลของ บลจ.กรุงไทยก็ถือว่าเติบโตพอสมควร ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีนักลงทุนกลุ่มดังกล่าวเข้ามาให้ บลจ.บริหารจัดการการลงทุนให้ โดยเฉพาะไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งขนาดของกองทุนนั้นจะอยู่ที่ 10-50 ล้าน


กำลังโหลดความคิดเห็น