xs
xsm
sm
md
lg

กูรูมองตลาดหุ้นไทยคึกคัก แนะหาจังหวะเก็บLTF-RMF

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นักวิเคราะห์กองทุนรวมแนะนักลงทุนทยอยหาจังหวะลงทุนกองทุน LTF-RMF พร้อมชะลอการลงทุนกองทุนทองคำหลังราคาดีดตัวขึ้น พักเงินในกองทุนรวมตลาดเงินไปก่อนค่อยรอจังหวะกลับเข้าลงทุนใหม่อีกครั้ง

นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund Super Mart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาสินทรัพย์เสี่ยงส่วนใหญ่ดีดกลับแรง เนื่องจากผลประกอบการบริษัทเอกชนของสหรัฐส่วนใหญ่ออกมาแข็งแกร่งเกินคาด แต่หากดูปัจจัยอื่นๆ แล้ว ยังมีโอกาสที่ราคาสินทรัพย์เสี่ยงจะผันผวนอยู่ โดยล่าสุดตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐไตรมาสแรกอยู่ที่ 2.5% YoY ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์กันไว้ เนื่องจากผลกระทบการปรับลดงบประมาณรายจ่ายเริ่มส่งผลในช่วงปลายไตรมาสแรกประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่รวมถึงการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปยังไม่ชัดเจน นอกจากนี้ ปัจจัยในประเทศเองยังไม่ชัดเจนเช่นกัน โดยตลาดยังคงคาดหวังจะได้เห็นมาตรการควบคุมค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นของ ธปท. เร็วๆ นี้ เพื่อลดผลกระทบต่อภาคการส่งออก และทิศทางดอกเบี้ยที่ชัดเจน

สำหรับการลงทุนในสัปดาห์นี้เราแนะนำให้ชะลอดูสถานการณ์ ก่อนกลับเข้าทยอยสะสมลงทุนระยะยาวในกองทุนหุ้นไทย, LTFและ RMF เพิ่มเติม เมื่อ SET Index ปรับตัวลดลง โดยในขณะนี้ SET Index กำลังทดสอบจุดสูงสุดเดิม และเช่นเดียวกันกับกองทุนทองคำซึ่งราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านที่เรามองไว้บริเวณ 1,520 US$/oz. มองแนวโน้มยังไม่ดีนัก ให้ชะลอการเข้าสะสมกองทุนทองคำไปก่อน โดยกองทุนแนะนำสัปดาห์นี้ เราให้พักเงินใหม่เข้ากองทุนตลาดเงิน เพื่อรอจังหวะกลับเข้าลงทุนกองทุนสินทรัพย์เสี่ยงเมื่อมีโอกาส โดยกองทุนตลาดเงินที่แนะนำยังคงเป็น PCASH ของ บลจ. ฟิลลิป

ส่วนสถานการณ์ราคาทองคำดีดกลับหลังร่วงลงแรงนั้น เป็นผลมาจากความต้องการซื้อทองคำในตลาดซื้อขายทันที (Spot) นอกจากนี้ ยังมีแรงซื้อจากกองทุน HedgeFund บางรายที่ยังเชื่อมั่นในการลงทุนทองคำ รวมถึงคาดการณ์การเข้าซื้อของธนาคารกลางของประเทศตลาดเกิดใหม่ ทำให้ราคาทองคำดีดกลับมาปิดที่ 1,462.50 US$/oz.(+4.18% WoW) ส่วนราคาน้ำมันดิบ Nymex กลับมาปรับตัวขึ้นจากสต็อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐร่วงลงแรง และภาวะน้ำมันดิบที่ล้นตลาดเริ่มบรรเทาลง หนุนราคาน้ำมันดิบNymex ปิดที่ 93 US$/bbl (+5.67% WoW)

นายสานุพงศ์ กล่าวต่อว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดจับตาผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐที่ทยอยประกาศออกมาโดยรวมแล้ว หนุนตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น พร้อมกับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ยังคงออกมาให้สัญญาณที่ฟื้นตัว โดยข้อมูลผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงเกินคาด และยอดขายบ้านใหม่ที่เพิ่มขึ้นดีกว่าที่คิดกันไว้ ทำให้ดัชนีดาวโจนส์และ S&P 500 ดีดกลับมาเป็นบวกในสัปดาห์ที่แล้วหลังติดลบแรงในสัปดาห์ก่อนหน้า

ส่วนตลาดหุ้นยุโรปแม้ว่าเศรษฐกิจยังคงถดถอย และไม่มีสัญญาณที่แสดงให้เห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจน แต่ความคาดหวังที่จะได้เห็นธนาคารกลางยุโรป (ECB) ออกมาตรการกระตุ้นพิเศษ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มยูโรโซนที่กำลังย่ำแย่อยู่ตอนนี้ และอาจมีการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลงอีก ทำให้เกิดแรงเก็งกำไรในตลาดหุ้นยุโรปให้ดีดตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามการประชุม ECB ในสัปดาห์นี้ยังมีโอกาสที่จะสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนได้ ขณะที่ตัวเลขผลประกอบการบริษัทของยุโรปออกมาไม่ค่อยดี ทำให้ตลาดหุ้นในยุโรปมีโอกาสที่จะผันผวนแรงต่อไป

สำหรับตลาดหุ้นจีนยังคงปรับตัวสวนทางตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชีย โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา กลับมาปรับตัวลดลงอีกครั้ง และตลาดหุ้นจีนยังคงถูกกดดันจากการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และปัญหาในตลาดการเงิน รวมถึงความกังวลที่ผู้ควบคุมกฏระเบียบเตรียมอนุญาตให้นำหุ้นเข้าตลาดได้อีกครั้ง


กำลังโหลดความคิดเห็น