บลจ.กรุงไทย ส่งกองทุน “เคแทม เวิลด์ คอปเปอร์เรท บอนด์ฟันด์” ลุยลงทุนบอนด์เอกชนทั่วโลกของ BlackRock พร้อมชูการลงทุนเชิงกลยุทธ์ช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุน เปิดขายไอพีโอแล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 2 เมษายน 2556
น.ส.ดารบุษป์ ปภาพจน์ รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด 2 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย มหาชน กล่าวว่า จากผลการสำรวจผู้ลงทุนจะเห็นได้ว่ายังมีความต้องการที่จะเข้าลงทุนในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนในระดับหนึ่ง แต่กระแสเงินยังไม่เข้ามา จากมุมมองด้านความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่ธนาคารกลางลงทุนในพันธบัตรรัฐและตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อหนุนหลังมากขึ้น
โดย บลจ.กำลังอยู่ในช่วงเปิดขายหน่วยลงทุนกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ คอปเปอร์เรท บอนด์ฟันด์ (KT-WCORP) ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม-2 เมษายน 2556 เป็นกองทุนที่ลงทุนในไม่น้อยกว่าร้อยละ 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมหลัก BGF Global Corporate Bond Fund ซึ่งบริหารจัดการโดย BlackRock (Luxembourg) S.A. โดยปัจจุบันบริษัทจัดการลงทุน BlackRock มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการสูงถึง 3.792 ล้านล้านเหรียญ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555) โดยกองทุนมีหลักมีวัตถุประสงค์ในการบริหารเงินลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้อย่างสม่ำเสมอในระยะยาวมากกว่าการเกร็งกำไรโดยเพิ่มหรือลดอายุเฉลี่ยของกองทุน
สำหรับความน่าสนใจของกองทุน BGF Global Corporate Bond Fund คือมีการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือในระดับที่น่าลงทุนทั่วโลก โดยมีสัดส่วนการลงทุนเชิงกลยุทธ์ ทั้งในตราสารหนี้High yield และตลาดเกิดใหม่ พร้อมให้โอกาสรับผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากดัชนีอ้างอิง Active Performance ที่แข็งแกร่ง โดยอาศัยกระบวนการลงทุนที่เข้มงวดภายใต้กลไกการควบคุมความเสี่ยงที่ชัดเจน ไม่เน้นการลงทุในตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ แต่เน้นกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีสภาพคล่องสูง
นอกจากนี้ กองทุนรวมหลักให้ผลตอบแทนสุทธิรวมประมาณ 7.8% ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าผู้ลงทุนจะได้รับประโยชน์จากการกระจายการลงทุนในกองทุน และกองทุนมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าดัชนีอ้างอิงได้ในภาวะตลาดที่แตกต่างกัน
“การลงทุนที่เหมาะสมของกองทุน KT-WCORP ที่จะให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม คือ 12-18 เดือนขึ้นไป ซึ่งจากปัจจัยในปัจจุบันเราประเมินกับผู้จัการกองทุนหลักกันว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3-5% ดอลลาร์เทอม ซึ่งกองทุน KT-WCORP นั้นได้ทำการป้องการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนจะทำให้เกิดส่วนต่างจากตรงนี้บวกลบประมาณ 2%” น.ส.ดารบุษป์กล่าว
ก่อนหน้านี้นายโดมินิค เพ็กเลอร์ หัวหน้ากลุ่มงานกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ในเอเซียแปซิฟิกของ BlackRock กล่าวว่า ปี 2012 เป็นปีที่ถือได้ว่าไม่ปกตินักสำหรับผู้ลงทุนในตราสารหนี้ โดยอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้อยู่ในระดับสูงมากใกล้เคียงกับอัตราผลตอบแทนของหุ้น การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาตราสารหนี้ในปี 2012 แสดงให้เห็นว่ารายได้จากดอกเบี้ยของตราสารหนี้ปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธบัตรรัฐบาล เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเยอรมนี โดยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีให้อัตราผลตอบแทนน้อยกว่า 2% ต่อปี ทั้งนี้ เนื่องจากผลของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางทั่วโลกจะยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำเพื่อที่จะช่วยพยุงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนั้นยังมองว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างตราสารหนี้ภาคเอกชนและพันธบัตรรัฐบาลมีโอกาสจะลดต่ำลงอีกประมาณ 0.50% จากเดิมที่ 1.50% ซึ่งแสดงว่ายังคงมีโอกาสที่นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในระดับที่เหมาะสมจากการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน
สำหรับความหวั่นเกรงว่าจะมีการย้ายเงินลงทุนจากตราสารหนี้ไปยังหุ้นนั้น มองว่าเงินลงทุนนั้นไม่ได้มาจากตราสารหนี้ภาคเอกชน แต่มาจากเงินฝากธนาคารที่สะสมมาตั้งแต่วิกฤตการเงินในปี 2008
ขณะเดียวกัน นายเพ็กเลอร์คาดว่ายังคงมีโอกาสการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุน ผ่านการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีระดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับ Investment Grade หรือที่เรียกกันว่า High Yield และตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ แม้ว่าราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากในปี 2012 ก็ตาม
น.ส.ดารบุษป์ ปภาพจน์ รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด 2 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย มหาชน กล่าวว่า จากผลการสำรวจผู้ลงทุนจะเห็นได้ว่ายังมีความต้องการที่จะเข้าลงทุนในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนในระดับหนึ่ง แต่กระแสเงินยังไม่เข้ามา จากมุมมองด้านความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่ธนาคารกลางลงทุนในพันธบัตรรัฐและตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อหนุนหลังมากขึ้น
โดย บลจ.กำลังอยู่ในช่วงเปิดขายหน่วยลงทุนกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ คอปเปอร์เรท บอนด์ฟันด์ (KT-WCORP) ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม-2 เมษายน 2556 เป็นกองทุนที่ลงทุนในไม่น้อยกว่าร้อยละ 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมหลัก BGF Global Corporate Bond Fund ซึ่งบริหารจัดการโดย BlackRock (Luxembourg) S.A. โดยปัจจุบันบริษัทจัดการลงทุน BlackRock มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการสูงถึง 3.792 ล้านล้านเหรียญ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555) โดยกองทุนมีหลักมีวัตถุประสงค์ในการบริหารเงินลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้อย่างสม่ำเสมอในระยะยาวมากกว่าการเกร็งกำไรโดยเพิ่มหรือลดอายุเฉลี่ยของกองทุน
สำหรับความน่าสนใจของกองทุน BGF Global Corporate Bond Fund คือมีการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือในระดับที่น่าลงทุนทั่วโลก โดยมีสัดส่วนการลงทุนเชิงกลยุทธ์ ทั้งในตราสารหนี้High yield และตลาดเกิดใหม่ พร้อมให้โอกาสรับผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากดัชนีอ้างอิง Active Performance ที่แข็งแกร่ง โดยอาศัยกระบวนการลงทุนที่เข้มงวดภายใต้กลไกการควบคุมความเสี่ยงที่ชัดเจน ไม่เน้นการลงทุในตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ แต่เน้นกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีสภาพคล่องสูง
นอกจากนี้ กองทุนรวมหลักให้ผลตอบแทนสุทธิรวมประมาณ 7.8% ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าผู้ลงทุนจะได้รับประโยชน์จากการกระจายการลงทุนในกองทุน และกองทุนมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าดัชนีอ้างอิงได้ในภาวะตลาดที่แตกต่างกัน
“การลงทุนที่เหมาะสมของกองทุน KT-WCORP ที่จะให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม คือ 12-18 เดือนขึ้นไป ซึ่งจากปัจจัยในปัจจุบันเราประเมินกับผู้จัการกองทุนหลักกันว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3-5% ดอลลาร์เทอม ซึ่งกองทุน KT-WCORP นั้นได้ทำการป้องการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนจะทำให้เกิดส่วนต่างจากตรงนี้บวกลบประมาณ 2%” น.ส.ดารบุษป์กล่าว
ก่อนหน้านี้นายโดมินิค เพ็กเลอร์ หัวหน้ากลุ่มงานกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ในเอเซียแปซิฟิกของ BlackRock กล่าวว่า ปี 2012 เป็นปีที่ถือได้ว่าไม่ปกตินักสำหรับผู้ลงทุนในตราสารหนี้ โดยอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้อยู่ในระดับสูงมากใกล้เคียงกับอัตราผลตอบแทนของหุ้น การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาตราสารหนี้ในปี 2012 แสดงให้เห็นว่ารายได้จากดอกเบี้ยของตราสารหนี้ปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธบัตรรัฐบาล เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเยอรมนี โดยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีให้อัตราผลตอบแทนน้อยกว่า 2% ต่อปี ทั้งนี้ เนื่องจากผลของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางทั่วโลกจะยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำเพื่อที่จะช่วยพยุงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนั้นยังมองว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างตราสารหนี้ภาคเอกชนและพันธบัตรรัฐบาลมีโอกาสจะลดต่ำลงอีกประมาณ 0.50% จากเดิมที่ 1.50% ซึ่งแสดงว่ายังคงมีโอกาสที่นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในระดับที่เหมาะสมจากการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน
สำหรับความหวั่นเกรงว่าจะมีการย้ายเงินลงทุนจากตราสารหนี้ไปยังหุ้นนั้น มองว่าเงินลงทุนนั้นไม่ได้มาจากตราสารหนี้ภาคเอกชน แต่มาจากเงินฝากธนาคารที่สะสมมาตั้งแต่วิกฤตการเงินในปี 2008
ขณะเดียวกัน นายเพ็กเลอร์คาดว่ายังคงมีโอกาสการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุน ผ่านการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีระดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับ Investment Grade หรือที่เรียกกันว่า High Yield และตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ แม้ว่าราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากในปี 2012 ก็ตาม