บทความ Wealth Manager Talk
ความร้อนแรงของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา อาจต้องถึงคราวสะดุดลงในสัปดาห์นี้ จากความเสี่ยงทางการเมืองจากทั้งทางยุโรปและสหรัฐ ซึ่งได้แก่ ข่าวผลการเลือกตั้งในอิตาลีซึ่งมีทีท่าว่าอาจไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากพอที่จะตั้งรัฐบาลได้และอิตาลีอาจต้องจัดการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งในเดือนหน้า และการเจรจาการตัดลดงบประมาณในสหรัฐ (Sequester) ที่หากสภาคองเกรส ไม่สามารถหาข้อตกลงได้ภายในวันที่ 1 มีนาคมนี้ รัฐบาลสหรัฐจะถูกบังคับให้ตัดลดรายจ่ายงบประมาณเป็นจำนวน 8.5 หมื่นล้านเหรียญในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
แม้ตลาดหุ้นจะถูกแรงกดดันจากปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมา แต่เรายังเชื่อว่าการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นในช่วงนี้ จะเป็นเพียงแค่การปรับฐานระยะสั้นเท่านั้น และหากมองในระยะยาว หุ้นก็ยังน่าจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีในปีนี้ เนื่องจากภาวะดอกเบี้ยต่ำและสภาพคล่องล้นโลกจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนของผู้จัดการกองทุนทั่วโลก ซึ่งโดยภาพรวมยังอยู่ในช่วงปรับพอร์ตเพื่อให้กลับมาลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้น หลังจากที่ลงทุนในหุ้นน้อยกว่าเกณฑ์ (underweight) มาโดยตลอดนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2008
ในขณะการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่พัฒนาแล้วที่ให้ดอกเบี้ยต่ำเป็นประวัติการณ์นั้นยังมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากภาวะดอกเบี้ยที่เป็นขาลงต่อเนื่องมาในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้น น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้นตามเศรษฐกิจโลกที่ดูดีขึ้นในปีนี้
ตลาดหุ้นในเอเชียแปซิฟิกยังน่าจะได้รับผลบวกจาก Fund Flow ที่ยังไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก Valuation ที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับในอดีต และเทียบกับตลาดในประเทศที่พัฒนาแล้ว และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่ำเนื่องจากหนี้ภาครัฐและเอกชนที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ
เราเชื่อว่าความเสี่ยงในสหรัฐและยุโรปในช่วงนี้จะทำให้ตลาดหุ้นปรับฐานเพียงระยะสั้นเท่านั้น และแนะนำให้นักลงทุนใช้โอกาสนี้ในการทยอยสะสมหุ้น โดยเฉพาะหุ้นในตลาดเอเชีย ที่พื้นฐานดี และยังน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ความร้อนแรงของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา อาจต้องถึงคราวสะดุดลงในสัปดาห์นี้ จากความเสี่ยงทางการเมืองจากทั้งทางยุโรปและสหรัฐ ซึ่งได้แก่ ข่าวผลการเลือกตั้งในอิตาลีซึ่งมีทีท่าว่าอาจไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากพอที่จะตั้งรัฐบาลได้และอิตาลีอาจต้องจัดการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งในเดือนหน้า และการเจรจาการตัดลดงบประมาณในสหรัฐ (Sequester) ที่หากสภาคองเกรส ไม่สามารถหาข้อตกลงได้ภายในวันที่ 1 มีนาคมนี้ รัฐบาลสหรัฐจะถูกบังคับให้ตัดลดรายจ่ายงบประมาณเป็นจำนวน 8.5 หมื่นล้านเหรียญในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
แม้ตลาดหุ้นจะถูกแรงกดดันจากปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมา แต่เรายังเชื่อว่าการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นในช่วงนี้ จะเป็นเพียงแค่การปรับฐานระยะสั้นเท่านั้น และหากมองในระยะยาว หุ้นก็ยังน่าจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีในปีนี้ เนื่องจากภาวะดอกเบี้ยต่ำและสภาพคล่องล้นโลกจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนของผู้จัดการกองทุนทั่วโลก ซึ่งโดยภาพรวมยังอยู่ในช่วงปรับพอร์ตเพื่อให้กลับมาลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้น หลังจากที่ลงทุนในหุ้นน้อยกว่าเกณฑ์ (underweight) มาโดยตลอดนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2008
ในขณะการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่พัฒนาแล้วที่ให้ดอกเบี้ยต่ำเป็นประวัติการณ์นั้นยังมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากภาวะดอกเบี้ยที่เป็นขาลงต่อเนื่องมาในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้น น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้นตามเศรษฐกิจโลกที่ดูดีขึ้นในปีนี้
ตลาดหุ้นในเอเชียแปซิฟิกยังน่าจะได้รับผลบวกจาก Fund Flow ที่ยังไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก Valuation ที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับในอดีต และเทียบกับตลาดในประเทศที่พัฒนาแล้ว และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่ำเนื่องจากหนี้ภาครัฐและเอกชนที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ
เราเชื่อว่าความเสี่ยงในสหรัฐและยุโรปในช่วงนี้จะทำให้ตลาดหุ้นปรับฐานเพียงระยะสั้นเท่านั้น และแนะนำให้นักลงทุนใช้โอกาสนี้ในการทยอยสะสมหุ้น โดยเฉพาะหุ้นในตลาดเอเชีย ที่พื้นฐานดี และยังน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
