xs
xsm
sm
md
lg

ธนชาตตั้งเป้าโต 15 เปอร์เซ็นต์ เชื่อหุ้นไทยดี-ทองคำซึม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บุญชัย เกียรติธนาวิทย์
บลจ.ธนชาตตั้งเป้า AUM ปีนี้โตเพิ่มอีก 15% หลังปี 55 AUM อยู่ที่ 122,021 ล้านบาท เล็งออกกองทุนใหม่อีก พร้อมบุกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพรุกกลุ่มบริษัทเอกชนเต็มสูบ เชื่อหุ้นยังให้ผลตอบแทนดี ดัชนีสิ้นปีอาจเห็น 1,600-1,700 จุด ขณะที่ทองคำซึม ขาดแรงกระตุ้นฉุดราคาทรงตัว

นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร (AUM) ของบริษัทอยู่ที่ 122,021 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 26.6% โดยแบ่งออกเป็นกองทุนรวม 102,397 ล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล 9,690 ล้านบาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 9,934 ล้านบาท

โดยในปี 2556 นี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 15% และมีแผนที่จะเปิดกองทุนใหม่ T-Smart Fund 2 ในช่วงไตรมาส 1-2 หลังจากช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้เปิดกองทุน T-Smart Fund 1 ไปแล้ว

นอกจากนี้ยังเตรียมออกกองทุน T-Challenge 8 และกองทุน Mixed Income Fund ที่ให้ผลตอบแทนที่ 5% คาดว่าจะออกในช่วงไตรมาส 1-2 เช่นกัน ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนที่จะเปิดกองทุนที่ลงทุนในเอเชียแปซิฟิก กองทุน Medium Cap Fund และกองทุน T-Small ที่คาดว่าจะเปิดในช่วงไตรมาสนี้อีกด้วย

นายบุญชัย กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ปีนี้บริษัทมีแผนที่จะขยายฐานลูกค้ามากกว่าเดิม เนื่องจากว่าเรามีสาขาที่พร้อมให้บริการแล้วถึง 630 สาขา โดยจะจับกลุ่มลูกค้าบริษัทเอกชนเป็นหลัก ซึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับรางวัลการบริหารจัดการกองทุนดังกล่าวดีเด่น โดยในปีนี้บริษัทมีนโยบายการลงทุนให้สมาชิกเลือกลงทุนแบบ Employee's Choice

คาดหุ้นดี-ทองคำซึม

ด้านนายตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ธนชาต กล่าวว่า ปีนี้การลงทุนในหุ้นปัจจัยแวดล้อมถือว่าขณะนี้ดีที่สุด แม้ว่าเศรษฐกิจโลกมีการขยายตัวต่ำ แต่ถ้าดูในผลประกอบการในแทบทุกภูมิภาคนี้จะสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

“ในส่วนของการลงทุนในประเทศไทยถือว่าเป็นไปได้ดีเนื่องจากว่ารัฐบาลเข้ามาสนับสนุนด้านการลงทุนในอินฟราสตรักเจอร์ และมีการขยายตัวในภูมิภาค ซึ่งในอีก 5-6 ปีข้างหน้าหุ้นไทยก็ขึ้นเยอะ แม้ว่าราคาหุ้นไทยเราจะราคาไม่ได้ถูกมากนักเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ถ้าเราดูบริษัทจดทะเบียนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง P/E Ratio การลงทุนในไทยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 13 เท่า หรือมีการเติบโตของกำไร 17.4% โดยดัชนีสิ้นปีคาดว่าอยู่ที่ 1,600-1,700 จุด”

ขณะที่การลงทุนในทองคำ ความน่าสนใจเริ่มลดลง ตัวกระตุ้นทองคำเริ่มหายไป ราคาทองคำเริ่มลดลงเรื่อยๆ จากปัญหา QE3 ส่งผลให้ราคาทองคำไม่สามารถทำนิวไฮได้

ด้านการลงทุนในตราสารหนี้ปีนี้ไม่ค่อยดีมากนัก แต่ถ้าเข้าไปลงทุนในกองทุนมันนีมาร์เกตยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ นอกจากนี้ การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ปีนี้ก็ยังไม่คึกคักเหมือนปีที่ผ่านมาเช่นกัน

“การลงทุนในพันธบัตรในต่างประเทศให้ผลตอบแทนที่น้อยเมื่อดูที่ 2 ปีให้ผลตอบแทนที่ 0.25% แต่อย่างไรก็ตามโอกาสการลงทุนในประเทศที่พัฒนาแล้วก็ยังมี อย่างเช่น ประเทศชิลี หรือโปแลนด์ ที่ยังสามารถลงทุนได้อยู่” นายตระกูลจิตรกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น