วิริยะประกันภัยยันยังไม่ขึนเบี้ยประกันภัยรถยนต์ มั่นใจปีนี้กวาดเบี้ยขั้นต่ำ 3 หมื่นล้าน ระบุเริ่มเห็นสัญญาณต้นทุนเพิ่มขึ้นทั้งจากค่าแรงและค่าอะไหล่ แต่ต้องใช้เวลาอีกปีครึ่งถึงจะประเมินใหม่ได้ ลั่นฐานะการเงินสุดแกร่งพร้อมแข่งขันเต็มที่หากเปิดเสรีอาเซียน
นายกฤตวิทย์ ศรีพสุธา กรรมการและที่ปรึกษา บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงฐานะความมั่นคงของบริษัทฯ ในปัจจุบันว่า ในรอบปีที่ผ่านมาแม้อุตสาหกรรมประกันภัยในภาพรวมต้องประสบปัญหาในการบริหารจัดการ เพราะมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนสูงเป็นประวัติศาสตร์ อันเป็นผลมาจากการเกิดมหาอุทกภัยในประเทศไทยเมื่อก่อนหน้านั้น แต่สำหรับวิริยะประกันภัยสามารถผ่านช่วงเวลาดังกล่าวมาได้ด้วยดี
ส่วนในปีนี้บริษัทเชื่อว่าน่าจะทำเบี้ยประกันภัยรับได้ไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาท โดยเชื่อว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทจะยังคงต่ออายุกรมธรรม์เกิน 70% ส่วนกำไรของบริษัทนั้นจะมาจาก 2 ส่วนคือกำไรจากการรับประกันและการลงทุน ซึ่งบริษัทจะตั้งเป้ากำไรไว้ไม่เกิน 5% เนื่องจากยึดหลักคุณธรรมคือนโยบาย และต้องการให้การประกันภัยเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม
ขณะที่การขึ้นเบื้ยประกันภัยในส่วนของรถยนต์นั้น บริษัทยังไม่มีแผนจะปรับขึ้นราคาถึงแม้ว่าจะเห็นสัญญาณของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งจากค่าแรง และค่าอะไหล่ที่มากขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของบริษัทจะต้องบริหารต้นทุนในส่วนนี้ อย่างไรก็ตาม หากแนวโน้มต้นทุนยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมีความเป็นไปได้เช่นกันที่บริษัทจะต้องปรับขึ้นราคา แต่เชื่อว่าน่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 ปี 6 เดือนถึงจะสามารถคำนวนต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแบบชัดเจนได้ และคาดว่าจะรู้ผลในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2557
สำหรับปัจจุบันวิริยะประกันภัยมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงแข็งแรงและมีมาตรฐานสูงกว่ามาตรฐานทางการเงินที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยวิริยะประกันภัยมีเงินกองทุน ณ เดือนธันวาคม 2555 อยู่ที่ 20,682 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 43,333 ล้านบาท ส่วนทุนจดทะเบียน (ชำระเต็มมูลค่าแล้ว) 2,000 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้หากมีการเปิดเสรีการเงินอาเซียนบริษัทเชื่อว่าน่าจะมีศักยภาพพอจะสามารถแข่งขันกับบริษัทประกันภัยในภูมิภาคเดียวกัน
ด้าน นายกฤษณ์ หิญชีระนันทน์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ยังได้เปิดเผยถึงผลประกอบการด้านการรับประกันภัยรถยนต์ว่า ตลอดปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับอยู่ที่ 25,577.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่มีเบี้ยประกันภัยรับ19,961.54 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 28.13% โดยแบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) จำนวน 2,297.76 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ จำนวน 23,279.28 ล้านบาท
จากอัตราการเติบโตดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากการบริการที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ การซ่อมรถให้ตามที่ลูกค้าต้องการ การสำรวจภัยและจัดการสินไหมที่รวดเร็ว รวมถึงการมีภาพลักษณ์องค์กรที่ดี มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ ที่ทำให้เรามีกลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะผลที่ได้รับจากนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรกของรัฐบาล ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อหลายวงการ ทั้งช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้บริโภค และยังเป็นผลบวกต่อธุรกิจประกันภัยรถยนต์ เพราะปกติตลาดประกันภัยรถยนต์จะเติบโตสอดคล้องในสัดส่วนเดียวกันกับการขยายตัวของตลาดรถใหม่
ด้าน นายอานนท์ โอภาสพิมลธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ได้เปิดเผยถึงผลประกอบการงานนันมอเตอร์ ในรอบปีที่ผ่านมาว่า มีเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 2,434.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่มีเบี้ยประกันภัยรับที่ 1,792.61 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 35.82% แบ่งเป็นเบี้ยประกันอัคคีภัย 241.08 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่ง 169.79 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด 2,023.91 ล้านบาท